Okanagan แคมป์นี้เป็น private campsite มีทุกอย่างพร้อมคือมี hooks up จึงอาจจะใช้เครื่องไม้เครื่องมือในรถได้อย่างบริบูรณ์ น้ำก๊อกก็มีแรงกดดันอัดฉีดให้ไหลได้เต็มที่
ระหว่างที่เดินทางมีฝนตกลงมาอีก มีหิมะแถมมาด้วย แต่ไม่นานนัก หมอกลงหนาทึบจนมองแทบไม่เห็นทาง แต่ก็เป็นระยะใกล้ๆ แถบนี้เป็นถิ่นเลี้ยงปศุสัตว์ เช่นวัว ควาย Bison สำหรับขายเอาเนื้อ มีสะพานข้ามถนนที่เรียกว่า cattle bridge ที่ทอดข้ามจาถนนฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง เป็นท่อนเหล็กวางติดกันไว้หลายท่อน เพื่อไม่ให้ฝูงวัวควายข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้ ประมาณแปดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของผลไม้ในแคนาดามาจากแหล่งนี้ จึงเห็นแผงขายผลไม้ตั้งอยู่ทั่วไป
แต่เนื่องจากเดือนที่เราไปเป็นเดือนพฤษภาคม จึงยังไม่มีผลไม้มากนัก แผงขายผลไม้จึงยังวางวาย ชาวไร่องุ่นแถบนี้ ปลูกองุ่นเพื่อทำไวน์ มีทั้งไวน์ขาวและไวน์แดง เช่น Pinot Blanc, Pinot Gris, Pinot Noir, Chadonnay และ Merlot เป็นต้น เสียดายที่อากาศไม่เป็นใจ จึงไม่ได้หยุดแวะชิมไวน์ที่ไหน ลองซื้อไวน์ Shiraz ที่ผลิตแถบนี้มาหนึ่งขวด รสชาติเป็นที่ถูกใจเพราะมี Full body ที่เราชอบคือมี อัลกอฮอล์ถึง ๑๓.๕ เปอร์เซ็นต์ ตื่นเร็วกว่าปกติในเช้าวันรุ่งขึ้น เพราะต้องการไปให้ถึงเมือง Revelstoke ให้เร็วที่สุด เพื่อจ่ายของเครื่องใช้ เช่นเนื้อ ผักสลัด ผลไม้ ขนมปัง เนยแข็ง แฮม ฯลฯ เพราะของพวกนี้เก็บไว้ไม่เสีย แถมยังเอาออกมากินได้ทันทียามหิว
ข้ามสะพานที่เชื่อมทะเลสาบ Okanagan ทั้งสองฝั่ง ซึ่งยาวประมาณ ๖๐๐เมตรเพิ่งเปิดใช้ในปีนี้นี่เอง สร้างขนานไปกับสะพานลอย หรือ floating bridge ที่เคยใช้มาก่อน ทะเลสาบในช่วงนี้สวยมาก เสียดายที่จอดรถไม่ได้ จึงไม่มีรูปมาอวด
เสน่ห์ของที่แห่งนี้คือการสร้างถนนให้ขนานไปกับแม่น้ำ ลำธารหรือทะเลสาบ ไม่ว่าจะเป็นถนนไฮเวย์หรือถนนธรรมดา การก่อสร้างก็กลมกลืนไปกับธรรมชาติอย่างน่าชม ตั้งใจจะทำสปาเก็ตตี้แบบง่ายๆ คือใช้ซ๊อส Pesto ใบโหระพาจากขวด ใส่น้ำมัน Olive และกระเทียม ราดลงไปก็จะได้อาหารที่ง่ายแต่อร่อย กินกับสลัดเช่นเคย บังเอิญตอนไปจ่ายของเป็นเวลาใกล้เที่ยง เห็นไก่ย่างสีเหลืองตัวใหญ่ร้อนๆหอมกรุ่นน่ากิน เลย ซื้อติดมือไปด้วย ดีใจที่ได้ทำเช่นนั้น เพราะกว่าจะขับรถไปถึงที่พัก ที่ Canyon Hot Spring ก็บ่ายมากแล้ว เก็บสปาเก็ตตี้ไว้ทำกินมื้ออื่น
Canyon Hot Spring ตั้งอยู่ห่างจากเมือง Revelstoke ในราว ๓๐ กิโลเมตร เป็นแคมป์ที่เงียบสงัด ตั้งอยู่ในใจกลางป่าสน นอกจากเป็นสถานที่ตั้งแคมป์แล้วยังมีชาเล่ต์แบบ log cabin ให้เช่าอีกต่างหาก มีชาเล่ต์หลังหนึ่งเรียกว่า Honeymoon chalet สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ไม่มีสิ่งอื่นแปลกปลอมเลย สวยมาก มีสระว่ายน้ำ hot spring อยู่สองบ่อ บ่อหนึ่งมีอุณหภูมิ ๓๔ องศาเซลเซียส อีกบ่อหนึ่ง ๔๓ องศา ลงไปอาบแล้วรู้สึกสบายเนื้อสบายตัว ไม่น่าขยะแขยงเหมือน hot spring ของบางประเทศ โลกนี้มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นเสมอ ตอนที่กำลังจะลงไปเล่นน้ำ มีฝรั่งสามีภรรยาคู่หนึ่ง เล่นอยู่ก่อนแล้ว ทักทายสวัสดีกันตามธรรมเนียม ได้ยินสำเนียงที่หนาๆของภรรยาแล้ว จึงถามว่าเขามาจากไหน originally คุณผู้อ่านทายถูกแล้วค่ะ ก็มาจากสวิสนั่นไง เขาเล่าต่อว่า ได้มาฮันนี่มูนในประเทศนี้ เมื่อห้าสิบกว่าปีมาแล้ว เกิดติดใจ เลยไม่ยอมกลับสวิส ปักหลักตั้งรกรากอยู่จนถึงบัดนี้ ลูกเต้าโตไปหมดแล้ว มีหลานหลายคนอยู่ที่แคนาดากันทุกคน แต่เขาทั้งสองกลับสวิสกันสองสามปีต่อครั้ง เขาได้แต่หวังว่าอากาศจะดีขึ้นสำหรับเรา
ได้คุยกับชาวแคนาเดียนหลายคน ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวว่า ปีนี้อากาศเปลี่ยนแปลงมาก อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตามปกติควรจะอุ่นขึ้นแล้ว ไม่ควรจะมีฝนตกอีก ก็ได้แต่บอกเขาไปว่าอากาศในยุโรปก็ไม่แตกต่างกันมากนัก ชี้แจงกับเขาว่าจะพักอยู่ที่นี่เพียงคืนเดียวเท่านั้น แล้วจะเดินทางต่อไปยังเมือง Clearwater ที่ Canyon Hot Spring ผิดกับที่อื่นที่ผ่านมา คือจะอาบน้ำแต่ละครั้งต้องหยอดเหรียญหรือต้องการซักผ้า เงินที่ใช้เป็นเงินแคเนเดียนดอลล่าร์ Canadian Dollar (Can$) มีเหรียญต่างชนิดคือ ๑ เซ็นต์ เรียกว่า Penny ๕ เซ็นต์ เรียกว่า Nickel ๑๐ เซ็นต์ เรียกว่า Dime ๒๕ เซ็นต์ เรียก Quarter หนึ่งดอลล่าร์ เรียกว่า Loonie สองดอลล่าร์เรียก Twoonie แบงค์โน้ตก็มีตั้งแต่ ๕ ๑๐ ๒๐ ๕๐ และ ๑๐๐ เพราะฉะนั้นเวลาไปอาบน้ำหรือไปซักผ้า ถ้าไม่รู้ว่า Loonie คืออะไร ก็จะไม่รู้ว่าจะต้องหยอดเงินเท่าไร เป็นความรู้ทั่วไปที่ควรจะต้องศึกษา เวลาเดินทางไปต่างประเทศ การได้เดินทางแบบนี้ ทำให้ได้มีโอกาสพบปะ พูดคุยกับชาวคาเนเดียนทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ารู้ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสแตกฉานเฉกเช่นคนพื้นเมือง การพูดคุยกับพวกเขาจะง่ายมาก แถมสนุกและได้ความรู้ที่บางครั้งหาอ่านจากหนังสือไม่ได้
จากประสบการณ์การท่องเที่ยวเแบบ intensive ทั่วโลก และอยู่มาแล้วหลายประเทศ อยากจะพูดได้เต็มปากว่า หากจะมีชาติใดที่ไม่เหยียดผิวแล้ว ชาวแคนาเดียนน่าจะได้คะแนนไปเต็มๆ ไม่ใช่แต่เพียงจะมีไมตรีจิตช่วยเหลือแล้ว เขายังทำได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ในบางประเทศอาจจะมีผู้คนยิ้มแย้ม แต่ทำงานแบบ บ่มิไก๊
ผู้คนในบางประเทศมีสิทธิภาพในการทำงาน แต่หน้าตาเหมือนกับโกรธใครมาร้อยปี ทว่าชาวแคนาเดียนมีทั้งสองสิ่งนี้รวมกัน จึงเป็นชนชาติที่น่ารักมาก เขายกย่องให้เกียรติแก่ผู้คนที่เข้าไปติดต่อด้วย ลูกค้าคือบุคคลสำคัญ ที่จะต้องเอาอกเอาใจ เขาจะกุลีกุจอช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นที่ Tourist Centre หรือในซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือในร้านรวง พอบอกขอบคุณ เขาบอกว่าเขาต่างหากที่จะต้องขอบคุณเราที่เข้าไปใช้บริการ ไม่ใช่เป็นเหตุการณ์บังเอิญในที่แห่งเดียว แต่เหมือนกันไปทุกแห่ง บางครั้งล้อเขาว่า ก็เพราะอย่างนั้นนะสิ ถึงได้มาใช้บริการ เพราะไม่ต้องการให้เขาเบื่อรำคาญที่ไม่มีอะไรทำ เขาก็หัวเราะชอบใจ คุยกันต่อไปได้อย่างสนุก
เมื่อไหร่หนอ ประเทศที่ด้อยพัฒนาจะเรียนรู้ที่จะบริการลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวด้วยสีหน้าแจ่มใสและมีประสิทธิภาพในคราวเดียวกัน? พูดโดยสรุปก็คือเขามีความรับผิดชอบสูงมาก มิน่าเล่าจึงเป็นพี่เบิ้มในแปดประเทศอุตสาหกรรมที่ร่ำรวยที่สุดของโลก ไม่แปลกใจที่นักท่องเที่ยวชาวแคนาเดียนโดยทั่วไป จึงได้รับการยกย่องและต้อนรับจากผู้คนทั่วโลก ในเรื่องความสุภาพ ความมีน้ำใจ ไมตรีจิต เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ น่าจะส่งคนในบางประเทศไปอบรมที่นั่นบ้างก็จะดีไม่น้อย
วันรุ่งขึ้น ตื่นแต่เช้าเช่นเคย เพราะจะไปให้ถึงเมือง Clearwater ที่อยู่ห่างออกไปจาก West Bank ถึง ๓๖๘ กิโลเมตร ความจริงก็ไม่ไกลถ้าใช้รถยนต์ธรรมดา แต่นี่เป็นรถอาร์วี ซึ่งยาวถึง ๗.๕ เมตร มีความกว้าง ๒.๙๕ เมตร ซึ่งอุ้ยอ้าย จำต้องอาศัยเวลานานกว่าปกติ คืนนั้นฝนกตกตลอดคืน พอรุ่งเช้ายิ่งหนาเม็ดยิ่งขึ้น เลยตัดสินใจอาบน้ำในรถ แทนการออกไปอาบในห้องน้ำข้างนอก ยังไม่ทันเจ็ดนาฬิกาดี ก็เริ่มออกเดินทาง ย้อนกลับไปตามทางที่มาเมื่อวาน ผ่านเมือง Revelstoke, Salmon Arm, Kamloops เรื่อยๆไปจนถึง Little Fort และมาถึง Clearwater ในราวเที่ยง ถนนที่ขับมาสร้างไปตามแม่น้ำ North Thompson ทะเลสาบและลำธาร เมื่อฝนเริ่มซาก็แลเห็นภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะอยู่เบื้องหน้า สำหรับคนที่อยู่ประเทศสวิสอย่างเรา
การที่ได้เห็นภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนนั้น เป็นสิ่งเจนตา แต่ความกว้างใหญ่ไพศาลของสถานที่ต่างหากเล่าที่ทำให้หัวใจเบิกบานไปด้วยความปิติ รู้สึกหายใจเข้าออกได้อย่างเต็มที่ไม่ติดขัด เหมือนมีอะไรมาบีบอยู่ หลังฝนตก ไม้ป่าแลดูเขียวขจีกว่าปรกติ ที่ชอบที่สุดคือการปล่อยต้นสนให้ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติริมทะเลสาบ ไม่ตกแต่งให้ผิดธรรมชาติ ดูคล้ายประเทศฟินแลนด์นิดหน่อยในส่วนนี้
ที่ Clearwater Camping Ground มีทุกอย่างครบครัน คือ full hooks up ทั้งห้องอาบน้ำฝักบัว ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า สระว่ายน้ำ เครื่องซักผ้า แถมยังมีอินเตอร์เน็ตให้ใช้อีกด้วย จึงถือโอกาสเอาเสื้อผ้าที่ใช้แล้วไปซักและทำให้แห้ง และดูข่าวในคราวเดียวกัน ตั้งใจจะพักที่นี่สองคืน เพราะพยากรณ์อากาศบอกว่าอากาศจะดีในวันรุ่งขึ้น จะได้ไปเดินแบบ long walks เพราะตั้งแต่ขับรถมาจากแวงคูเวอร์ ยังไม่ได้ออกกำลังกายสักเท่าไรเลย ชักวิตกว่าอาจจะเป็นง่อยก่อนถึงเวลาอันควร ตื่นแต่เช้าเช่นเคย หลังจากที่เดินไปอาบน้ำสระผมแล้ว ก็กลับมาทำอาหารเช้า เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ และเราจะไม่ไปไหนไกล ก็เลยทำอาหารเช้าแบบ English Breakfast มีทั้งน้ำส้ม กาแฟ เบคอน ไข่ทอด ขนมปังปิ้ง เนยสด เนยแข็ง แยม เนยถั่วของโปรด the lot บางคนอาจจะร้องยี้ว่าไม่เห็นจะมีอะไรแปลกเลย อย่าลืมนะคะว่าเราอยู่กลางป่าสน ไม่ใช่โรงแรมสี่หรือห้าดาวหรือที่บ้าน จัดการกับอาหารเช้าและทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ก็ขับรถมุ่งไปยัง HelmckenFalls น้ำตกที่อยู่ห่างออกไปในราว ๔๑ กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายอีกในราว ๕ กิโลเมตร ก็มาถึงน้ำตก Helmcken
แม้จะไม่ใหญ่เท่าน้ำตกไนอาการา แต่เป็นน้ำตกที่สูงลิ่ว ไหลลงหน้าผาตกไปยังแม่น้ำ Murtle เดินเลาะไปตามหน้าผาอันสูงชัน ผ่านป่าไม้สนไปได้ ๒๐ นาที ก็มาถึงจุดที่แม่น้ำ Clearwater และแม่น้ำ Murtle ไหลมาบรรจบกัน ในขณะเดินเลียบไปตามหน้าผา รู้สึกได้ถึงความสูงชันของหุบผาแห่งนี้ พลาดนิดเดียวก็คงจะไม่มีโอกาสมาเล่าเรื่องนี้ให้คุณผู้อ่านฟังเป็นแน่
น้ำตกที่ไหลเชี่ยวกรากพัดพาเอาแร่มาจากภูเขาไฟซึ่งมีในสมัยก่อนมาด้วยจึงทำให้น้ำมีสีเทานิดๆ จุดที่ทั้งสองแม่น้ำมาบรรจบกันเป็นทัศนียภาพที่งดงามเหนือคำบรรยาย ใต้สะพานที่รถวิ่งข้ามมาน้ำไหลเชี่ยว ไม่มีสิ่งใดและอะไรจะไปขวางทางน้ำได้ เสียงอึกกระทึกของทั้งน้ำตกและแม่น้ำฟังสั่นสะเทือน ใครที่เคยดูหนังเรื่อง River of No Return ที่แสดงโดยดาราเก่ารุ่นคุณย่าคือ Marilyn Monroe และRobert Mitchum จะวาดภาพออก เสียดายที่ไม่ได้เห็นนกอินทรย์หรือนก woodpecker เห็นแต่โพรงไม้ที่เป็นรูเพราะโดนเจาะ ไม่ได้มีหมีมาเดินขวางทาง มีแต่อึของหมีที่ถ่ายทิ้งไว้ ขากลับฝนตกลงมาอีก ขอบคุณสวรรค์ที่ได้เว้นช่วงในตอนที่เราไปเดินดูน้ำตกและแม่น้ำ พอถึงแคมป์ฝนก็หยุดตก ทำให้เพื่อนร่วมเดินทางคู่ใจจัดการก่อไฟแบบ open fire เอาเนื้อสเต็กออกไปย่าง ในขณะที่รอให้ไฟติดและเนื้อสุก หญิงไทยก็เอาเปรียบเช่นเคย ออกไปว่ายน้ำในสระที่มีอุณหภูมิในราวยี่สิบองศา พอได้เวลาเนื้อกำลังจะสุก ก็กลับมาทำสลัด เนื้อย่างอร่อยมาก เพราะมีกลิ่นหอมจากควันที่มาจากท่อนฟืน ตั้งใจจะจัดโต๊ะกินกันข้างนอก แต่เกรงว่าฝนจะเทลงมาอีก เลยยกของเข้าไปจัดโต๊ะกินกันข้างใน เปิดไวน์แดง Shiraz ที่ซื้อมาเมื่อวันวาน ดื่มแกล้มกับสเต็กที่แสนอร่อย วันที่เจ็ดของการเดินทางโดยอาร์วี ทำให้มีความชำนาญขึ้น รู้ว่าจะไปจอดรถที่ยาวถึง ๗.๕ เมตร และกว้างถึง ๒.๙๕ เมตร ได้ที่ไหน และจะไปซื้ออาหารมาตุนไว้ได้อย่างไร
เช้าวันนี้ก็เช่นเคย หลังอาหารเช้าซึ่งเป็นแบบคอนติเนนตัลธรรมดา แล้วก็เริ่มออกเดินทางประมาณแปดโมงเช้า ไปยัง Mount Robson ซึ่งมีระยะทาง ๑๘๖ กิโลเมตรจาก Clearwater ฝนเทลงมาอีกเช่นเคย แต่หยุดเป็นพักๆให้แสงแดดส่องลงมาได้บ้าง ถนนผ่านแม่น้ำ North Thompson ที่เชี่ยวกราก ไปแวะที่ตำบล BlueRiver อันเป็นสถานีรถไฟที่สำคัญสถานีหนึ่ง
ความจริงได้เคยผ่านสถานีนี้มาแล้วตอนที่นั่งรถไฟมาจากโทรอนโต แต่มันเป็นในยามค่ำคืน จึงไม่ได้เห็นอะไร แม้แต่แม่น้ำเฟรเซอร์ ก็เพิ่งเห็นตอนขับรถผ่านไปนี่เอง เมื่อใกล้ Mount Robson เข้าไปจะเห็นภูเขาหลายลูกใหญ่ๆอยู่เบื้องหน้า ปกคลุมไปด้วยหิมะ ท้องฟ้าในช่วงนี้เป็นสีสดใสเหมือนแก้วสีฟ้าเจียรไน ไม่ได้ตื่นเต้นกับเทือกเขาเพราะเคยชินกับการที่ได้เห็นในสวิส แต่ที่น่าสนใจคือความกว้างใหญ่ไพศาลของท้องที่ ของภูเขาสูง ท้องไร่ท้องหน้าแลดูสุดลูกหูลูกตา ไม่ได้จำกัดอยู่ในบริเวณแคบๆ Mount Robson สูง ๓๙๕๔ เมตรเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในกลุ่ม Rocky Mountains ของประเทศแคนาดา
หลังจากที่ได้ขับรถวนอยู่สองสามรอบ ก็มาได้แคมป์ชื่อว่า Mount RobsonProvincialPark ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเฟรเซอร์ ซึ่งไหลไปตามไฮเวย์ Yellowhead แม่น้ำเฟรเซอร์มีความยาว ๑๓๖๐ เมตร ไหลไปลงมหาสมุทรแปซิฟิค YellowheadPass เป็นช่องผ่านข้ามเขาที่ต่ำที่สุดแห่งหนึ่งของ Rocky Mountains เพื่อข้ามไป JasperNational Park ที่อยู่ในรัฐ Alberta Mount RobsonProvincialPark เงียบสงัดเช่นเดียวกับแคมป์ Emory ที่เราไปพักในคืนแรก จะมีเพิ่มมาก็แต่ห้องอาบน้ำฝักบัว มีรถอาร์วีจอดอยู่แล้วไม่กี่คัน อากาศมัวซัวบ้าง มีแสงแดดบ้าง ฝนตกบ้างสลับกัน
ลมเย็นพัดผ่านมาต้องผิวกายทำให้รู้สึกได้ถึงบรรยากาศของเทือกเขา จากประสบการณ์ในสวิส ไม่มีเสียงอึกกระทึกใดๆ มีแต่ความเงียบสงบจนได้ยินเสียงหัวใจเต้น ได้ยินเสียงของกิ่งไม้ที่แกว่งไกวไปมาตามสายลม เห็นนกไม่กี่ตัวออกมาบิน มันคงจะยังหนาวเกินกว่าที่จะออกมาทำรัง เห็นแต่รังของนกอินทรีย์บนคาคบไม้ ที่เคยเห็นที่ทะเลสาบ Monck แล้วก็ไม่เห็นนกอินทรีย์ที่อื่นเลย
วันที่แปดของการเดินทางโดยรถอาร์วี ตั้งใจจะเข้าไปพักใน JasperNational Park สองคืน พอใกล้ปาร์คเข้าไป รถต้องไปจอดที่ประตูทางเข้า เพื่อชำระค่าผ่านเข้าไปในปาร์คเป็นเงิน $115 (หนึ่งร้อยสิบห้าดอลล่าร์) ลดแล้วสำหรับ ส.ว. อย่าเข้าใจผิดว่าสำหรับสมาชิกวุฒิสภา แต่สูงวัยต่างหาก ตั๋วที่เขาออกให้มีกำหนดใช้ได้หนึ่งปี ใครจะรู้บางทีอาจจะได้กลับมาอีกก็ได้
ไปเช็คอินที่ Whistler’s Camping Ground บอกเจ้าหน้าที่ว่าจะพักสองคืน แล้วก็เข้าไปในเมือง Jasper มีความรู้สึกว่าจาสเปอร์เป็นเมืองที่เป็นการค้ามากกว่าเมืองอื่นๆทั้งหมดที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่ ได้ผ่านมาแวะที่เมืองนี้แล้ว
เมื่อตอนนั่งรถไฟมาจากโทรอนโต จึงรู้สึกคุ้นๆ แวะกินอาหารกลางวันในร้านอาหารอิตาเลียน แล้วก็ไปจองทัวร์สำหรับไปดูสัตว์ในตอนเย็นวันนั้น เรียกว่า Wildlife Safari ขับรถมาจนถึงที่นี่แล้ว ยังไม่ได้เห็นสัตว์สักหนึ่งตัว ยกเว้นนกและกวาง อยากเห็นหมีดำและ grizzly bear มาก เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนมีป้ายเตือนเรื่องการปฏิบัติตนเองเมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์เหล่านี้
ขณะที่เดินทางไป เป็นเวลาที่ “ผสมพันธุ์” พอดี สัตว์ที่กล่าวถึงจึงดุกว่าในยามปกติ เวลาที่จาสเปอร์ใช้เวลาภูเขาจึงเร็วกว่าที่ฝั่งแปซิฟิคหนึ่งชั่วโมง และช้ากว่าเมืองไทยสิบสามชั่วโมง
ไกด์มารับที่หน้าค่าย ใช้เวลาสามชั่วโมงในการดูสัตว์ป่า ได้เห็นตัว elk กวางชนิดหนึ่งหนึ่งฝูงในระยะใกล้ กวางชนิดนี้ได้ชื่อว่าอันตรายที่สุดในแถบนี้ โดยเฉพาะช่วงที่มันกำลังเลี้ยงลูก ส่วน bull elk หรือกวางตัวผู้ มีกิ่งเขายาวใหญ่ สำหรับขวิด เมื่อมีภัยมาถึงตัว การเข้าใกล้สัตว์จำพวกนี้ต้องระวังมาก เขาพยายามที่จะให้มันอยู่กับธรรมชาติที่สุด และไม่ยอมให้ใครไปให้อาหารมันเป็นอันขาด แต่พวกนี้มักจะมาขุดคุ้ยหาอาหารตามแหล่งที่ทิ้งขยะ เขาจึงทำถังใหญ่เป็นพิเศษ มีฝาแน่นหนาไม่ให้เปิดได้โดยง่าย กวาง elk เป็นมังสะวิรัต ในราวเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับหมี ที่กินแต่หญ้า กิ่งไม้ ผลไม้ป่า และหญ้าเป็นอาหาร แต่มีบางคราวมันก็อยากจะกินเนื้อบ้าง เห็นนกอินทรีย์ หรือ osprey ๒ ตัวเกาะอยู่บนคาคบไม้ นกนี่กินปลาเป็นอาหาร
เห็นกวางป่าฝูงใหญ่พร้อมทั้งแกะที่เรียกว่า big horn sheep แกะพวกนี้ไต่หน้าผาได้เก่งและรวดเร็วมาก เพราะที่อุ้งเท้าแยกเป็นแฉกสำหรับไต่คลาน ในที่สุดก็เห็นลูกหมีสามตัวไต่อยู่บนต้นไม้ มีแม่หมีรอเฝ้าอยู่เบื้องล่าง แล้วก็เห็นหมีตัวใหญ่สองตัว ตัวหนึ่งสีดำ อีกตัวหนึ่งสีน้ำตาล ความจริงเป็นหมีประเภทเดียวกัน แต่คนละสี ในทัวร์มีหนุ่มสาวชาวแคนาเดียนจากออนแทรีโอที่เพิ่งแต่งงานได้ห้าวัน เดินทางมาฮันนีมูนที่จาสเปอร์ด้วย วันรุ่งขึ้นขับรถไปประมาณ ๔๒ กิโลเมตรก็มาถึงทะเลสาบ Maligne (อ่านว่า มาลีน) หนังสือ Reader’s Digestบอกว่าLake Maligne เป็นทะเลสาบที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวสูงสุดในแคนาดา ระหว่างทางได้เห็นหมีตัวใหญ่สีดำกำลังจะข้ามถนน จึงหยุดดูอย่างเงียบๆ เพื่อให้มันได้ข้ามถนน แต่คิดว่ามันคงจะรู้ตัวว่ามีคนดูเลยตัดสินใจไม่ข้าม ย้อนกลับไปกินกิ่งไม้ตามเดิม ตามปกติฝูงสัตว์จะปรากฏตัวในตอนเช้าและตอนพลบค่ำ ในเวลากลางวันมักจะไม่ค่อยปรากฏให้เห็น ตอนที่เราพบเป็นเวลาแปดโมงเช้า วันนั้นโชคดีมาก เพราะตอนขากลับก็ได้เห็นกวางตัวผู้ bull elk ตัวใหญ่กำลังกินหญ้าอยู่พอดี รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะเป็นการพบด้วยตนเอง ไม่ใช่ทัวร์ที่เขาพาไปเช่นคืนก่อน
ทะเลสาบมาลีนได้ชื่อมาจากแม่น้ำชื่อเดียวกันคือ MaligneRiver ชื่อแม่น้ำได้สมญาจากพระสงฆ์คาธอลิคชาวเบลเยี่ยมที่นำเอาศาสนามาเผยแพร่ให้กับเผ่าอินเดียนแดงในถิ่นนี้ ท่านต้องการข้ามแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกรากและไหลแรงไปยังอีกฝั่งหนึ่ง กว่าจะข้ามไปได้ก็ทุลักทุเลเต็มที ความโกรธและหงุดหงิด จะสบถอย่างหยาบๆออกมาก็ไม่ได้เพราะความเป็นพระสงฆ์ค้ำคออยู่ เลย พึมพำออกมาเบาๆว่า “riviere maligne” ในภาษาฝรั่งเศส ซึ่งแปลว่า “wicked river” ในภาษาอังกฤษหรือแม่น้ำชั่วร้ายในภาษาไทย
เมื่อนางแมรี่ ชาร์ปเลส เชฟเฟอร์ Mary Sharples Shaeffer ชาวอังกฤษที่เกิดในอเมริกาในครอบครัว Quaker ที่ร่ำรวยจากรัฐเพนซิลเวเนีย ได้ดั้นด้นมาจนถึงทะเลสาบแห่งนี้ ในฐานะผู้บุกเบิกและศิลปินถ่ายรูป ในปี ๑๙๑๑เธอติดอกติดใจทะเลสาบนี้มาก จึงตั้งชื่อว่า ทะเลสาบมาลีน เพื่อเป็นเกียรติแก่พระสงฆ์เบลเยี่ยมองค์นั้น
ความจริง มันไม่ยุติธรรมเลยที่จะเรียกแม่น้ำและทะเลสาบด้วยชื่อนี้ เพราะทั้งแม่น้ำและทะเลสาบมาลีน ไม่มีอะไรบ่งบอกถึงความชั่วร้ายแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามลักษณะของทั้งสองสวยงามสุดซึ้ง แม้ว่าแม่น้ำจะเชี่ยว แต่ก็ยังมีเสน่ห์ ส่วนทะเลสาบก็รายล้อมไปด้วยเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะโดยรอบ เช่นเดียวกับทะเลสาบในสวิสที่รายล้อมด้วยเทือกเขาแอลป์ ทะเลสาบมาลีนมีความลึกที่สุด ๙๗ เมตร ยาว ๒๒ กิโลเมตร และอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล ๑๗๐๐ เมตร แต่เราไม่รู้สึกถึงความสูงเหมือนคนส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นการลาดชันขึ้นทีละน้อย ซึ่งผิดกับสวิสซึ่งลาดชันขึ้นอย่างฮวบฮาบ อุณหภูมิของน้ำในขณะนั้นอยู่ในราว ๔ องศาเซลเซียส
ป่าสนที่ขี้นอยู่ริมฝั่งดูไม่สมบูรณ์ และเป็นสีน้ำตาล ไกด์บอกว่าเพราะไฟไหม้ป่าเมื่อปี ๒๐๐๓ ซึ่งเป็นปีที่แห้งแล้งมาก ยังจำได้ดีตอนที่ขับรถไปตีกอลฟ์ที่สก๊อตแลนด์ ขับขึ้นไปจนถึงเมือง Thurso ที่อยู่เหนือสุดของประเทศ ถ้าขับเลยไปก็คงจะตกทะเลเหนือ สามอาทิตย์แทบจะไม่มีฝนเลย ซึ่งผิดปรกติมากที่สุด เลยจำได้ว่า ปีนั้นแห้งแล้งแค่ไหน แต่เขาก็ดับไฟได้ทันก่อนที่จะลุกลามไปที่อื่น ไกด์เองมีความเห็นว่า ควรจะปล่อยให้ไหม้ให้หมด จะได้เริ่มปลูกต้นไม้กันใหม่ เพราะต้นไม้ขึ้นกันหนาแน่นเกินไปมีอาหารและแสงแดดส่องไม่พอทำให้ป่าส่วนหนึ่งตาย สวิสมีปัญหาแบบเดียวกัน เราจึงเข้าใจ
เรือวิ่งไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึง SpiritIsland ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ เรือจอดให้ผู้โดยสารออกไปเดินเล่น เหยียดแข้งขาบนฝั่ง น้ำในทะเลสาบตอนนี้มีสีเขียวแบบเตอร์ก๊อยซ์ เนื่องจากการที่ลำธารน้ำแข็งก้อนใหญ่จากภูเขา ได้ไหลลงบดทับก้อนหินจนเป็นผง กวาดทั้งหมดเข้าไปในก้นบึ้งของทะเลสาบ เมื่อมีแสงสะท้อนจากทิศต่างๆจึงได้เห็นสีของทะเลสาบเป็นสีเขียวสวย แม้ว่าอากาศจะไม่ดี แต่การได้มานั่งเรือเที่ยวในทะเลสาบแห่งนี้ ก็ได้เห็นความสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง สมกับคำยกย่องที่หนังสือ Reader’s Digest เขียนว่าเป็น The most wonderful boat ride in Canada.
ภาพของ SpiritIsland มีชื่อเสียงมาก เช่นเดียวกับภาพของภูเขา Matterhorn ในสวิส ไกด์บอกว่าเพื่อนของเขาคนหนึ่งไปเที่ยวประเทศเวียตนามเห็นภาพของ SpiritIsland แขวนอยู่ในบาร์ คิดในใจว่าเป็นภาพที่เขาแสนจะคุ้นเคย พอนึกออก ก็เที่ยวตะโกนบอกใครต่อใครว่าเขาทำงานอยู่ที่นี่เอง็ด ตอนขากลับ ไปแวะที่ MedicineLake หรือทะเลสาบยา เมื่อก่อนชาวอินเดียนแดงเชื่อว่ามีสปิริตหรือวิญญาณสิงสถิตอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ เนื่องจากน้ำในทะเลสาบจะขึ้นหรือลงทีละมากๆ บางครั้งน้ำก็จะหายไปเฉยๆและขึ้นมาใหม่ โดยเฉพาะในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ว่า เป็นการกลั่นกรองถ่ายเทน้ำภายใต้ทะเลสาบคราวละมากๆ UNESCO ได้จัดให้ Rocky Mountain Parks อยู่ในความคุ้มครองด้วย ก็เพราะทะเลสาบแห่งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะจมหายไปในที่สุด Whistler’s Camping Ground ที่เราพักอยู่เป็นเวลาสองคืนมีชื่อตามภูเขาชื่อเดียวกันนี่เอง ที่อยู่ในละแวกนี้ The Icefields Parkway
ถนนที่มีความยาวถึง ๒๓๐ กิโลเมตร ที่ทอดจาก Jasper ไปจนถึง Banff ได้รับการยกย่องให้เป็นถนนที่สวยที่สุดในโลก ได้รับการคุ้มครองจากองค์การ UNESCO ให้เป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของแคนาดา ไม่ว่าจะมองไปทางไหนจะเห็นทิวเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ มีทะเลสาบสีสวย ทุ่งหญ้า ป่าไม้ ตลอดระยะทาง
วันนี้ตั้งใจจะขับรถไปให้ถึง Columbia Icefields เพราะต้องการไปพักที่ Wilcox Camping Ground ในวันนั้น แวะตามทางไปหยุดดูน้ำตก Athabasca Fall เป็นแห่งแรก อาจจะไม่ใช่น้ำตกที่สูงที่สุด แต่ก็ทำให้รู้สึกได้ถึงความสวยงามของโขดหิน และน้ำที่สาดขึ้นมาจากน้ำตกที่ใสแจ๋วและไหลแรง เช้าวันนี้อากาศแจ่มใส ทำให้ได้เห็นทัศนียภาพพาโนรามาของเทือกเขา Rockies โดยรอบ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ชมเชยว่าถนนสายนี้เป็นสายที่ most spectacular เยี่ยมที่สุดในโลก Columbia Icefield and Athabasca Glacier
ไปจอดรถที่สถานที่จอดพิเศษสำหรับรถอาร์วีแล้ว เราก็ไปสมทบกับคนอื่นๆ นั่งรถ shuttle coach ไปยังสถานีที่จอดรถ Ice Explorer หรือ Sonocoach ที่มีอยู่เพียง ๒๓ คันในโลก คันหนึ่งส่งไปอลาสกา ให้ชาวอเมริกันที่เป็นนักค้นคว้าใช้ในแถบนั้น จึงเหลืออยู่ ๒๒ คันสำหรับใช้ที่ลำธารน้ำแข็งที่นี่ เป็นรถที่มีล้อใหญ่หนา สูงถึง ๕ ฟุต เพื่อเกาะหิมะและลำธารน้ำแข็ง ที่บางตอนก็สูงชัน หวาดเสียวไม่น้อยยามขึ้นหรือลงเนินน้ำแข็ง
ชม Maryanne ซึ่งเป็นทั้งคนขับรถและไกด์ในคราวเดียวกันว่าพูดภาษาอังกฤษได้ดีชัดเจน และล้อว่าแต่ถ้าตัดมือออกเธอคงจะพูดไม่ได้เป็นแน่ เพราะใช้มือช่วยในการบรรยายตลอดเวลา เธอหัวเราะชอบใจ บอกว่ามาจากเมือง Quebec ที่พูดภาษาฝรั่งเศส และยังคงเรียนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัย major ภาษาอังกฤษ เพราะต้องการไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษเมื่อเรียนจบแล้ว เธอเป็นไกด์สาวที่เก่งและคล่องแคล่วแม้จะยังมีอายุน้อย สามารถอธิบายให้แขกเข้าใจที่มาที่ไปของธารน้ำแข็งได้อย่างชัดเจน (ด้วยมือ?) เธอเสริมว่า พื้นที่ของลำธาร Athabasca ใหญ่เท่ากับเมืองแวงคูเวอร์ทั้งเมือง สังเกตว่าตอนหยุดฤดูร้อนเช่นนี้
มีนักศึกษาจำนวนมากมาทำงานหาเงินเป็นรายได้พิเศษเพิ่มเติมสำหรับการศึกษาในปีต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่น่านิยมและเอาเยี่ยงอย่าง การทำงานของเขามีประสิทธิภาพ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทำเพื่อเอาเงินอย่างเดียว
เราดื่มน้ำเย็นเฉียบชื่นใจจากน้ำที่ละลายจากธารน้ำแข็ง มีทัวร์คณะหนึ่งจากอังกฤษที่หัวหน้าทัวร์หัวแหลมเอาใจลูกทัวร์ ด้วยการหนีบวิสกี้มาด้วยขวดหนึ่งแล้วรินแจกดื่มกับน้ำในลำธาร ทำให้เราต้องมองด้วยความอิจฉาจนตาร้อนผะผ่าว แหม ถ้ารู้ล่วงหน้ามาก่อนจะหนีบเอา Black Label มาด้วยสักขวดหนึ่ง
ตอนขากลับขึ้นรถ แมรี่แอนน์กล่าวอำลาอย่างน่ารักว่า “ดิฉันรู้ว่าพวกคุณทุกคน กระหายใคร่จะหยิบสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากที่นี่ ติดไม้ติดมือกลับไปเป็นที่ระลึกกันบ้าง แต่น่าเสียดายที่คุณจะทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะผิดกฎหมาย คุณต้องละทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่ทั้งหมด
อนึ่ง ดิฉันเห็นว่าพวกคุณหลายคนได้ดื่มน้ำจากลำธาร เพราะฉะนั้นก่อนที่คุณจะขึ้นรถจากไป ดิฉันอยากจะขอร้องให้ทุกคน ไปใช้ห้องน้ำก่อนจะลาจากไป” ฮา วันที่สิบเอ็ดของการเดินทางด้วยอาร์วี เป็นวันศุกร์ที่สิบสาม เราออกเดินทางแต่เช้าตรู่เช่นเคย หิมะเริ่มตกลงมา ไม่ใช่หิมะแบบแห้งเป็นสำลี แต่เป็นหิมะเปียก แม่น้ำ North Saskatchewan ไหลคู่ขนานไปกับถนนไฮเวย์ที่เราใช้ ทางสูงชันขึ้น เพราะ IcefieldPark อยู่ในราว ๑๘๐๐ เมตร
แห่งแรกที่เราหยุดเป็นจุดที่สูงที่สุดคือ Bow Summit ซึ่งสูง ๒๐๘๘ เมตร จอดรถแล้วเดินขึ้นไปบนทางที่ค่อนข้างชันในราว ๑๕ นาที ก็มาถึงจุดดูวิว ภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้หัวใจแทบจะหยุดเต้น เบื้องล่างเป็นวิวของทะเลสาบ Peyton Lake สีเขียวมรกต เขียวที่สุดตั้งแต่เห็นทะเลสาบในประเทศนี้มา
ตลอดทางมีป้ายอธิบายเรื่องเส้นที่เรียกว่า Timberline ซึ่งเป็นเส้นกำหนดการเจริญเติบโตของต้นไม้ ที่แสดงว่า หลังจากจุดนี้ไปแล้วต้นไม้จะเล็กลง จนไม่มีต้นไม้ขึ้นได้อีก ขีดจำกัดขึ้นอยู่กับความสูงและความกว้างของภูเขา ที่ตั้งของเขาก็มีส่วนด้วยว่าตั้งอยู่ทางเหนือหรือทางใต้ มีแสงแดดส่องแค่ไหน
นอกจากนั้นก็มีป้ายอธิบายถึงพืชพรรณไม้และดอกที่ขึ้นตามภูเขา น่าสนใจมาก แห่งที่สองที่หยุดคือ Bow Lake View Point มองไปอีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบจะเห็นยอดเขา Dolomite ที่ทอดเงาลงไปในน้ำที่ใสแจ๋วและสงบนิ่งของทะเลสาบ จนเห็นภาพสะท้อนที่สวยงามชัดเจน โชคดีที่ตอนเดินขึ้นไป Bow Summit และมาหยุดที่ BowLake ฝนหยุดตกแล้ว มีแสงแดดทอลงมา จึงให้โอกาสถ่ายรูปได้ ดูเอาเองค่ะ ไม่ประหลาดใจเรื่องอากาศ เพราะอากาศของภูเขาไม่ว่าประเทศไหนย่อมแปรปรวนได้รวดเร็วเสมอ ยังผ่านทะเลสาบอีกหลายต่อหลายแห่ง แต่คงจะบรรยายได้ไม่หมด จึงกล่าวแต่ทะเลสาบที่สำคัญๆเท่านั้น
ในที่สุดก็ขับมาถึง Lake LouiseVillage ที่ตั้งอยู่บน ทรานสแคนาเดียนไฮเวย์หยุดแวะกินอาหารกลางวัน และซื้อของที่จะเอาไปทำกับข้าวในมื้อต่อไป หมู่บ้านแห่งนี้ popular มากและเปิดตลอดทั้งปี เพราะเป็นแหล่งสกีที่ใหญ่โตมาก มี gondola ที่ยาวที่สุดในโลกไม่ได้ขึ้นไป เพราะคุ้นกับ gondola ดีจากการเล่นสกีในสวิส
ประกอบกับฝนเริ่มตกหนักจึงตัดสินใจไปเช็คอินเข้า Lake Louise Trailer Camping Ground ตั้งใจจะพักอยู่หนึ่งคืนที่นี่ น็สำหรับคนที่ไม่คุ้นกับเมืองหนาว ขออธิบายว่าเมืองบางแห่งเปิดในช่วงฤดูหนาวหรือฤดูร้อนเท่านั้น แล้วแต่ว่าเมืองนั้นจะมีกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษให้นักท่องเที่ยวในแต่ฤดู
ทะเลสาบหลุยส์ซึ่งสูง ๑๗๓๑ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ได้ชื่อว่าเป็นเพชรน้ำหนึ่งของเทือกเขาร้อกกี้ สีน้ำเงินสลับ เขียวของน้ำในทะเลสาบเป็นประกายจากแสงพระอาทิตย์ในยามเช้า รายล้อมด้วยภูเขาหลายลูก แต่จะกล่าวถึงเพียงไม่กี่ลูกเท่านั้น เช่น วิคตอเรียที่สูงถึง ๓๔๖๔ เมตร เขา Fairview ๒๗๔๕ เมตรได้ชื่อจากวิวบนยอดเขา คนที่ไต่ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ๑๘๙๓ คือ นาย Samuel Allen และWalter Wilcox เขา Lefroy ซึ่งได้ชื่อจาก Captain John Henry Lefroy ที่เป็นคนแรกที่ไต่ขึ้นในปี ๑๘๙๗ภูเขา Victoria ซึ่งตามชื่อของ Queen Victoria แห่งอังกฤษ ไต่ครั้งแรกปีเดียวกับ Lefroy และเขาลูกสุดท้ายคือ Whyte ตามชื่อของ Sir William Whyte ซึ่งเป็นรองประธานของการรถไฟ Canadian Pacific Railway ชาวยุโรปคนแรกๆที่ไปพบทะเลสาบแห่งนี้ขนานนามว่า ทะเลสาบเขียวมรกต
อย่างไรก็ดี ในปี ๑๘๘๔ เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าหญิง Louise Caroline Alberta ธิดาคนที่สี่ของพระนางเจ้าวิคทอเรียแห่งอังกฤษ ทะเลสาบแห่งนี้จึงได้รับชื่อว่า Lake Louise ได้รับการคุ้มครองภายใน Banf National Park ทะเลสาบที่มีความลีกถึง ๙๐ เมตรแห่งนี้ จะปกคลุมด้วยน้ำแข็งจนถึงเดือนมิถุนายน
ตอนที่เราไปถึงยังค่อนข้างเช้าอยู่ จึงยังคงมีน้ำแข็งจับอยู่ตามพื้น ทำให้ลื่น บนฝั่งทะเลสาบมีโรงแรมหรูชื่อว่า The Fairmont Chateau Lake Louise สร้างขึ้นระหว่างปี ๑๙๑๓ ถึง ๑๙๒๕ โดยการรถไฟ Canadian Pacific Railway มีทั้งหมดประมาณห้าร้อยห้อง ความจริงโรงแรม Fairmont เป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงทั่วแคนาดา มีอยู่ในเมืองใหญ่ทุกเมือง
เราเดินไปจนถึงสุดทะเลสาบ มีระยะทางประมาณ ๒.๗ กิโลเมตรเท่านั้น อยากจะเดินต่อไปอีก แต่ไม่ได้เอาน้ำดื่มมา เลยต้องเลิกความคิด ที่จะเดินต่อไป ได้แต่นั่งดูวิวที่ตระการตาตระการใจอยู่บนริ่มฝั่ง ในด้านที่เกือบจะไร้ผู้คน
ถ้าหากเดินต่อไปอีกประมาณหนึ่งกิโลก็จะมาถึง Lake Agnes Teahouse ซึ่งสูงกว่าทะเลสาบหลุยส์ประมาณ ๔๐๐ เมตร ขับรถไปอีกสิบห้ากิโลเมตรก็มาถึงทะเลสาบโมเรน MoraineLake สีของทะเลสาบแห่งนี้ เป็นสีเขียวเตอร์กอยซ์ยิ่งไปกว่าทะเลสาบใดๆที่ผ่านมา ความจริงสีของทะเลสาบแต่ละแห่งเขียวขึ้นเขียวขึ้นในทุกแห่งที่ผ่านไป จนไม่อาจจะพูดได้ว่า ที่ไหนเขียวกว่าที่ไหน ที่นี่ก็เช่นกัน
เราเดินไปจนสุดขอบทะเลสาบอีกฝั่งหนึ่ง ดีใจทีได้เดิน เพราะเป็นการออกกำลังกายเบาะๆของเช้าวันนั้น จากเนินเขา แลเห็นภูเขาปราสาท MountCastle เทือกเขาที่มีหิมะขาวปกคลุมดูเหมือนปราสาทในสมัยโบราณ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนทัศนียภาพสวยงามทุกแห่งจนเหนือคำบรรยาย
ไปเช็คอินเข้าแคมป์ที่ Tunnel Mountain Camping Ground ที่ตั้งใจไว้ว่าจะพักอยู่สองคืน แคมป์นี้ผิดกับแคมป์อื่นๆ เพราะมีรถ shuttle รับส่งที่จะพาเราไปถึงในตัวเมือง Banff ซึ่งเป็นเมืองเฉกเช่นเมืองท่องเที่ยวของสวิส อาทิ Gstaad St. Moritz และ Zermatt LakeMinnewankaหรือที่ชาวเผ่าอินเดียนเรียกว่า Lake of the Spirits
นานนับเป็นหมื่นๆปีมาแล้วที่ทะเลสาบแห่งนี้เป็นที่เคารพนับถือบูชาและเกรงกลัวจากผู้คนที่มาเยือน มีป้ายบอกให้นักท่องเที่ยวรื่นรมย์กับทะเลสาบแห่งนี้ แต่ก็ขอให้เคารพนับถือวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในทะเลสาบซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ BanffNational Park ด้วย
นี่คือทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของ Banff ที่อนุญาตให้เรือมอเตอร์โบ๊ทวิ่งได้ ในฤดูใบไม้ผลิ ระดับน้ำค่อนข้างจะตื้น ด้วยเหตุที่น้ำได้ใช้ไปในการทำไฮโดรอีเล็คทริค ในช่วงฤดูร้อนน้ำแข็งและหิมะละลาย น้ำในทะเลสาบมีจำนวนเพิ่มขึ้นจนเต็มฝั่ง จึงสามารถเก็บเอาไว้ใช้ได้อีกในฤดูหนาว ที่นี่มีเขื่อนเพื่อการไฟฟ้าด้วย
เช้าวันนั้นเป็นวันที่มีอากาศดี แสงแดดแจ่มใส ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงบและสดชื่น เทือกเขาทุกแห่ง มองเห็นได้ชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขา Cascade เป็นสง่าท่ามกลางแสงแดดอันแผดกล้า เขาบอกว่าน้ำในทะเลสาบนี่เย็นมาก หากไม่ระวังตกลงไปอาจจะทำให้มีอาการโลหิตต่ำจนถึงตายได้
ชายสองคนนั่งอยู่ในเรือเล็กๆวุ่นอยู่กับการตกปลา คิดว่าคงจะจับไม่ได้สักกี่ตัว แต่การได้นั่งในเรือที่โคลงเคลงไปมาท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามและสงัดเงียบคงจะทำให้ใจสงบ เช่นเดียวกับการนั่งสมาธิเหมือนกัน ไม่ใช่แต่ชาวพุทธเท่านั้นที่สามารถทำใจให้สงบได้ ด้วยการนั่งสมาธิ ชนชาติอื่นๆก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่วิธีปฏิบัติเท่านั้นที่แตกต่าง
เพราะฉะนั้นฉันจึงเชื่ออย่างแน่วแน่ว่า การกระทำความดี ปฎิบัติดี ไม่จำกัดอยู่เพียงศาสนาใดศาสนาหนึ่งเท่านั้น มันเป็นสัจธรรมทั่วทั้งโลก คนที่ชอบสอนคนอื่นเรื่องการทำความดีและเรื่องศาสนา อาจจะไม่ใช่เป็น “คนดี” เลยก็ได้ แต่พูดให้ตนดูดีเท่านั้น
เราเดินไปเรื่อยๆจนถึงสะพานที่ข้ามทะเลสาบ ข้างใต้สะพานเป็นแม่น้ำแคบๆและเล็กมีกวางตัวเมียสองตัวยืนเล็มใบไม้ไบหญ้าอยู่ริมป่าละเมาะ ค่อยๆย่องใกล้เข้าไปเพื่อจะถ่ายรูปโดยไม่ให้มันรู้สึกตัว สัตว์จำพวกกวางช่างเป็นสัตว์ที่สง่างามและน่ารักเสียนี่กระไร พอรู้สึกตัวมันก็ยกหัวหันมามองด้วยดวงตา “กวาง” ขออภัยที่ต้องกล่าวเช่นนี้ เพราะไม่รู้จะหาคำใดมาใช้ในที่นี้ นอกจากคำว่าตากวาง ยังไม่ทันไร กวางตัวหนึ่งเกิดความรู้สึกว่าจะต้อง “อวดเก่ง” จึงกระโดดตูมลงไปว่ายน้ำในทะเลสาบ ในขณะที่เพื่อนอีกตัวหนึ่งยืนการ์ดคอยระวังระไว ช่างเป็นภาพที่งดงามและอ่อนช้อยเสียเหลือเกิน
ธรรมชาติช่างเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่พระเจ้าสร้างมาให้มนุษย์ได้ชื่นชม หากว่ามนุษย์จะหันมาสนใจเอาใจใส่กับธรรมชาติบ้าง หยุดงานในวันอาทิตย์ ออกไปเที่ยวหาความสุขในความสงัดเงียบ เพื่อดมกุหลาบเสียบ้าง ชีวิตจะได้ไม่เครียดจนเกินไป
แทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเลยในวันอาทิตย์นั้น จะมีก็แต่ชาวแคนาเดียนที่หยุดงานออกมารื่นรมย์กับธรรมชาติ ออกมาเดินเล่นและขี่จักรยาน ตอนนั่งพักจดบันทึกอยู่ที่โต๊ะริมทะเลสาบกลางแสงแดด มีสามีภรรยาชาวอังกฤษคู่หนึ่งเข้ามาทักทายสวัสดีเลยคุยด้วย โดยฉันเป็นฝ่ายเริ่มคุยและผูกมิตรก่อน แลกเปลี่ยนความเห็นซึ่งกันและกันในเรื่องของประเทศแคนาดาและการท่องเที่ยวทั่วไป เพราะเขาทั้งคู่ก็มีประสบการณ์ไม่น้อย ชอบคุยกับคนประเภทนี้ เพราะรู้สึกว่ามีอะไรที่คล้ายคลึงกัน พบปะพูดคุยกันได้โดยไม่ขัดเขิน จึงอยากจะให้คนไทยหาความรู้รอบตัว อ่านหนังสือให้มากๆ ฝึกฝนภาษาสากลเช่นอังกฤษให้คล่องแคล่ว จะได้สนทนากับคนอื่นได้รู้เรื่อง และยามเดินทางจะได้ไม่รู้สึกว่าตนเป็นคนแปลกหน้าในที่นั้น
เมื่อมีธรรมชาติที่งดงามช่วยเช่นนี้ จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชาวแคนาเดียนโดยทั่วไป จึงมีอัธยาศัยที่น่ารัก น่าชื่นชม ไม่เย่อหยิ่งและปั้นปึ่ง นี่แหละค่ะคนในชาติที่พัฒนาแล้ว วันสุดท้ายของการอยู่แคมป์ When it’s spring time in the Rockies I’m coming back to you. When it’s spring time in the Rockies I’m coming back to you. เป็นเพลงโปรดเพลงหนึ่งของคุณแม่ ตอนที่ท่านยังสาวสวยและยังมีชีวิตอยู่ ฉันได้รู้จักและได้ยินคำว่าเทือกเขาร้อกกี้ก็ด้วยเพลงนี้ ในขณะที่ยังเป็นเด็กหญืงตัวเล็กๆ เสียงเพลงกลับมาก้องอยู่ในหูอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้ว แต่ฉันยังจำได้เมื่อท่านฮัมเพลงนี้เข้ากับดนตรีที่แว่วมาจากแผ่นเสียงในสมัยโบราณจากเครื่องเล่น ที่บ้านเราเรียกว่า Turntable มันเป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่ท่านเสียชีวิตแต่ฉันก็ยังระลึกถึงอยู่เสมอไม่รู้วาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่ฉันได้ไปเห็น Rocky Mountains กับตาตัวเอง ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่และยังแข็งแรง ฉันอาจจะชวนท่านให้มาด้วยกันก็ได้ ในสถานที่เคยเป็นความฝันของท่าน Rocky Mountains เตือนให้ระลึกอีกครั้งหนึ่งว่าฉันรักท่านเพียงใด อากาศในวันสุดท้ายของการไปแคมป์ ช่างดีเสียเหลือเกิน พระอาทิตย์ส่องแสงแจ่มใส ไม่มีแม้แต่ก้อนเมฆสักก้อนในท้องฟ้าสีคราม ดูเหมือนว่า Rocky Mountains ต้องการกล่าวคำอำลาที่วิเศษแก่เราที่รักเทือกเขาแห่งนี้เหลือเกิน ออกจาก Tunnel Mountain Camping Ground ในราวเก้าโมงเช้า ซึ่งค่อนข้างสายสำหรับคนที่เคยชินกับการตื่นแต่เช้าตรู่ ระยะทางไปถึงเมือง Calgary ไม่ไกลนักเพียง ๑๒๘ กิโลเมตรเท่านั้น
เราต้องเอารถอาร์วีไปคืนบริษัทรถที่มีสาขาอยู่ที่นั่น การเดินทางต่อไปง่ายๆ ไม่มีอะไรยุ่งยาก เราไม่ต้องการไปให้ถึงแคมป์เร็วเกินกำหนด จึงไปหยุดแวะที่เมือง Canmore ซึ่งก็เป็นเมืองท่องเที่ยวเล็กๆเช่นกัน นอกเหนือจากนั้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่น่าสนใจให้ดูอีก บริเวณแห่งนี้เป็นพื้นที่ราบปกคลุมไปด้วยทุ่งหญ้าที่เรียกว่า Prairie เราไปเช็คอินเข้าแคมป์เป็นคืนสุดท้ายที่ Mountain View Camping Ground เพีอจะได้ซักผ้าและทำความสะอาดรถก่อนที่จะเอาไปคืนในเช้าวันรุ่งขึ้น
ถ้าคุณผู้อ่านคนใด ต้องการที่จะรู้จักประเทศแคนาดาและชาวแคนาเดียนโดยไม่รีบร้อน ก็ขอแนะนำให้ทำอย่างที่เราทำ แต่อย่างที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น การเดินทางโดยใช้รถอาร์วีเป็นพาหนะ ไปหยุดในแคมป์ต่างๆ ไม่เหมาะสำหรับคนที่ปวกเปียก ช่วยตนเองไม่ได้ ต้องมีกุลีคอยแบกหาม เห็นการทำงานด้วยกำลังเป็นงานชั้นต่ำแล้วละก็ ขอความกรุณา อย่าได้ไปสร้างภาระให้ประเทศเขาเลย ไม่มีใครถาม แต่ขอบอกว่า การเดินทางแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าเป็นการเดินทางที่ “ถูกและประหยัด” ตรงกันข้ามเลยค่ะ เพราะค่าใช้จ่ายก็แทบจะเท่าหรือมากกว่าค่าใช้จ่ายที่จะไปอยู่ในโรงแรมสี่หรือห้าดาวเสียอีก แถมยังต้องทำงานแบกหาม ทำความสะอาดด้วยตนเองอีกต่างหาก
หลังจากวันนี้ไปแล้ว เราจะกลับเข้าไปอยู่กับ “ความศิวิไลซ์” อีกครั้งหนึ่ง เริ่มแรกคือ จะได้ไปพักอยู่ที่โรงแรม Fairmont Palliser ที่อยู่ในใจกลางของเมือง Calgary ด้วยเหตุที่เมือง Calgary เป็นพื้นราบจึงแลเห็นเทือกเขาร้อกกี้ล้อมรอบอยู่ไกลสุดขอบฟ้า ไม่มีอะไรที่น่าสนใจให้ทำมากนักที่เมืองนี้ เพราะเรามาผิดจังหวะเทศกาลที่มีเคาบอยขี่ม้าพยศเรียกว่า Calgary Stampede เห็นเขาบอกว่าเป็นการแสดง outdoor ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของการแสดงประเภทนี้
อย่างไรก็ดี เมือง Calgary ได้กลายเป็นเมืองที่สำคัญยิ่งยวดในทางเศรษฐกิจก็เพราะมีการขุดพบ “ทองคำสีดำ” คือ น้ำมันและแก๊สในหุบเขา Turner ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง จน Calgary ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงในด้านอุตสาหกรรมน้ำมันของประเทศ ในปี ๑๘๘๓ การรถไฟ Canadian Pacific Railway ได้สร้างรางจนมาถึงเมืองนี้ พร้อมกับนำเอาคนงานชาวจีนมาด้วย แถมในปี ๑๙๘๘ เมือง Calgary ยังมีชื่อเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกก็ด้วยกิฬาโอลิมปิคฤดูหนาวที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่สิบห้าอีกต่างหาก
ในปี ๒๐๑๐ จะมีงานโอลิมปิคฤดูหนาวอีกครั้งหนึ่งที่เมืองนี้ แต่ในช่วงเวลาที่เราไป เมือง Calgary ไม่มีอะไรให้ทำมากนัก เราจึงนั่งรถไฟไป HeritagePark ที่เพิ่งสร้างเสร็จ คิดว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นโชว์พีส สำหรับการท่องเที่ยว โดยมีการแสดงบ้านเรือนสมัยก่อนและประเพณีต่างๆ ด้วยอากาศที่ร้อนถึง ๒๗ องศาเซลเซียส เราจึงตัดสินใจที่จะไม่เดินดู แต่นั่งรถไฟเล็กที่ขับด้วยไอน้ำไปรอบบริเวณ สองสามรอบแล้วก็กลับโรงแรม
วันรุ่งขึ้น Air Canada พาเราบินกลับสวิส โดยไปเปลี่ยนเครื่องที่เมืองโทรอนโต ถึงซูริคในวันรุ่งขึ้นโดยปลอดภัย ความประทับใจในประเทศนี้จะมีอยู่ในใจไม่รู้เลือน ป.ล. มีเรื่องที่เห็นว่าสำคัญเรื่องหนึ่งที่อยากจะเล่าให้คุณผู้อ่านฟัง แต่ไม่รู้ว่าจะไปแทรกตอนไหนดี ก็ขอแทรกเอาตรงนี้ก็แล้วกันนะคะ
เรื่องของป่าไม้ของแคนาดาเป็นเรื่องที่ใหญ่มากสำหรับประเทศที่เป็นผู้ผลิตไม้และกระดาษ โดยเฉพาะในบริติชโคลัมเบีย ตามทางที่ผ่านไป จะเห็นป่าไม้เป็นสีน้ำตาลแก่ ยืนตายอยู่มากมาย ดูแล้วไม่น่าจะเป็นป่าไม้ที่มีสุขภาพดี ดังที่เล่าให้ฟังแล้วตอนไปเที่ยวทะเลสาบ Maligne เขาบอกว่ามีแมลงชนิดหนึ่งที่มากัดกินต้นไม้ประเภทสน ประกอบกับฤดูหนาวที่ไม่หนาวอย่างที่ควรจะเป็น เป็นเวลายาวนานกว่าสิบปีของประเทศ ทำให้แมลงชนิดนี้ที่เขาเรียกว่า beetle ขยายพันธุ์ออกไปมากมายอย่างยากที่จะหยุดได้
การป้องกันไฟป่าที่จะลุกไหม้ทำให้ป่าสนที่แก่แล้วเป็นที่พิสมัยของพวกแมลงเป็นอย่างมาก ที่ Mount Robson National Park ได้พบเจ้าหน้าที่ที่กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้นเพื่อลดจำนวนของแมลงที่จะแพร่ขยายเข้าไปในรัฐ Alberta และลามไปทั้งประเทศ ดังนั้นเราจะไม่ได้รับอนุญาตให้นำไม้ฟืนจากแคมป์หนึ่งเข้าไปอีกแคมป์หนึ่ง การก่อไฟจะต้องใช้ไม้ของที่นั้นและจะต้องเสียค่าธรรมเนียม
สำหรับคุณผู้อ่านที่อยากรู้ว่ามีต้นเมเปิ้ลซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแคนาดาอยู่มากหรือไม่ ขอตอบว่า ต้นเมเปิ้ลจะพบได้ในทางเหนือ ส่วนในบริติชโคลัมเบีย ต้นไม้ส่วนใหญ่จะเป็นสนหรือไม่ก็ต้น aspen ที่มีลำต้นเป็นสีขาว มีใบเล็กที่ปลิวสะบัดใบอย่างอ่อนช้อยไปตามสายลม