Viva Mexico (Part 6)

Chichen Itza

เมื่อมาถึง ชีค เคน นิทซ่า เราได้ไก๊ด์พิเศษโดยเฉพาะอีกคนหนึ่ง หลุยส์บอกว่าเขาเป็นไก๊ด์อาวุโสที่เก่งที่สุดสำหรับโบราณสถานแห่งนี้ และก็เป็นความจริง Ernesto ใช้ความพยายามและอดทนมากที่จะอธิบายประวัติของเผ่ามายากลุ่มนี้ให้ฟัง ชีค เคน นิทซ่า เป็นนิคมที่มีชื่อเสียงที่สุดและที่เก็บรักษาไว้ได้ดีที่สุดของเผ่ามายาในรัฐยูคาทาน ในช่วงที่มีความรุ่งเรืองสุดขีด ชีค เคน นิทซ่า เป็นศูนย์กลางของการพาณิชย์ ศาสนา และกองทัพ มีผู้คนอาศัยอยู่ถึงสามหมื่นห้าพันคน ถ้านับจากปีที่สร้างเมืองในค.ศ. ๘๐๐ และถึงจุดจบในศตวรรษที่สิบสาม ชีค เคน นิทซ่า ก็มีอายุยาวนานถึงห้าร้อยปี ไม่น้อยเลย

เราต้องตะลึงกับความกว้างใหญ่ไพศาลของนิคมแห่งนี้ ปิรามิด El Castillo หรือ ปิรามิดปราสาท สร้างคร่อมลงไปบนโครงสร้างเก่าที่มีอยู่แล้ว ในปี ๘๐๐ มีความสูงถึง ๒๔ เมตร อยู่เด่นเหนือโครงสร้างอื่นๆในบริเวณนี้ ลักษณะของปิรามิดเป็นลักษณะการสร้างที่ใช้วิชาเรขาคณิต เป็นที่เดียวที่ผู้มาเยือนได้รับอนุญาตให้ปีนขึ้นไปจนถึงยอดได้ มีบันไดสี่แห่ง คือทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก แต่ละแห่งมีบันได ๙๑ ขั้น รวมกันแล้วได้ ๓๖๔ ขั้น เมื่อนับแท่นชั้นบนของวิหารด้วยแล้ว จะมีบันไดทั้งหมด ๓๖๕ ขั้น อันเป็นปฏิทินของชาวมายา หมายถึง ปีหนึ่งมี ๓๖๕ วัน ฟังแล้วขนลุก ชาวมายามีความสามารถพิเศษในเรื่องดาราศาสตร์มาตั้งแต่ยุคนั้น สามารถคำนวณ ปี เดือน วัน ชั่วโมงและนาทีได้ โดยอาศัยดูแสงที่ส่องกระทบจุดต่างๆของโครงสร้างปีรามิดในแต่ละแห่ง บันไดมีความเอน ๔๕ องศา มีราวให้เกาะ โดยเฉพาะตอนขาลง

ที่เชิงบันได้ด้านเหนือมีรูปหินสลักหัวงูสองหัวซึ่งสันนิฐาณว่าเป็นพระเจ้าองค์หนึ่งของเผ่ามายาชื่อ Kukulcan แต่ละปีเมื่อถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์โคจรครบรอบเส้นศูนย์สูตรพอดี ทำให้มีกลางวันเท่ากับกลางคืน เกิดขึ้นในราววันที่ ๒๑ มีนาคม กับวันที่ ๒๒ กันยายน แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมา มีแสงและเงาสะท้อนทำให้ดูเหมือนว่างูกำลังจะเลื้อยขึ้นไปบนยอดปิรามิดในเดือนมีนาคม และเลื้อยลงในเดือนกันยายน ในช่วงนี้จะมีพิธีฉลองใหญ่ของชาวเม็กซิกันที่อยู่ในละแวกนี้ วิหารหรือวัดที่สร้างบนยอดปิรามิด เป็นวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อสดุดี Kukulcan ประตูทางเข้าก็ทำเป็นรูปตัวงู

Observatory Tower หรือ The Snail เป็นปิรามิดที่มายาใช้ปีนขึ้นไปดูความเปลี่ยนแปลงของพระจันทร์ พยากรณ์ เวลาที่ดวงอาทิตย์โคจรครบรอบเส้นศูนย์สูตร การเกิดสุริยะคราสและจันทรคราส เผ่ามายารู้มานานแล้วว่า โลกเป็นดาวนพเคราะห์ น่ามหัศจรรย์มากที่เผ่ามายาไม่มีเครื่องมือพิเศษมาช่วยในการวิเคราะห์ แต่ก็สามารถคำนวณเวลาเป็นวินาที นาที และชั่วโมงได้อย่างแม่นยำ ที่เรียกว่าหอคอยหอย ก็เพราะบันไดที่สร้างเป็นรูปโค้งแบบตัวหอย

ปิรามิดที่อยู่ด้านในที่ถูกคร่อมไว้จากปิรามิดด้านนอก มีบัลลังค์สีแดงสลักเป็นเสือจากัวร์มีหยกฝังอยู่ด้านนอกและมีแผ่นอิฐสลักของพระเจ้าแห่งน้ำฝน Chac Mool รวมอยู่ข้างในด้วย

เราเดินผ่านที่ฝังศพของพระสงฆ์ที่มีศักดินาสูง ผ่าน Nunnery ที่มีห้องเล็กๆอยู่ด้านนอกและชาวสเปนเข้าใจผิดว่าเป็นสำนักนางชี แต่ความจริงเคยเป็นวัง มีแกะสลักหินที่สวยงามมาก เดินไปดู Temple of the Warriors หรือวัดของนักรบ เป็นปิรามิดเล็กๆ ประดับด้วยประติมากรรมของพระเจ้าน้ำฝนและงู Kukulcan มีเสาหินที่สลักด้วยรูปงูสำหรับคอยเฝ้าทางเข้าประตู ที่นี่ผู้ที่เล่น Ballgame แพ้จะถูกฝังไว้ภายใต้วิหารแห่งนี้ เพราะเขาถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงส่งที่มีโอกาสถูกสังเวยให้แก่เทพเจ้าแห่งน้ำฝน

Ernesto พาเราเดินไปตามทางที่เรียกว่า Sacbeที่เคยเล่าแล้วว่าเป็นถนนสีขาวของชาวมายา จนมาถึงแท่นเตี้ยๆเรียกว่า the Tzompanti ที่มีเส้นรอบวงสลักเป็นรูปหัวกะโหลกล้อมรอบ นักโบราณคดีเชื่อว่า เผ่ามายาใช้สถานที่นี้เป็นที่ตั้งแสดงหัวของมนุษย์ที่ถูกบูชายันต์ในสมัยหนึ่ง

ต่อจากนั่นเราก็เดินมาถึง Sacred Cenote บ่อน้ำใหญ่ บ่อน้ำ “ซีโนตี้”มีไว้สำหรับบูชาพระเจ้า Chac Mool โดยเฉพาะ ไก๊ด์เล่าว่า ปีใดที่แล้งผิดปรกติ และชาวเมืองขาดแคลนน้ำ เด็กสาวทียังบริสุทธิ์ จะถูกประหารด้วยการให้กินยาพิษที่ใส่ในเห็ด แล้วโยนร่างทิ้งลงในบ่อเพื่อสังเวยพระเจ้าแห่งน้ำฝน

เคยเล่าแล้วว่าการเล่นกีฬา Ballgame มีความสำคัญมากสำหรับเผ่ามายา เพราะมันเป็นมากกว่าการกีฬา ที่ Chichen Itza มีสนาม Ballcourt ที่ใหญ่ที่สุดใน Mesoamerica มีความยาวถึง ๑๖๘ เมตร ยังคงเห็นห่วงสลักที่ทำจากหินสองห่วงติดแขวนอยู่บนกำแพง มีรูเจาะสำหรับให้ลูกบอลลอดผ่านไปได้

เดินผ่านสนามบอลออกไปเป็นที่โล่ง Ernesto เล่าว่าทูตชาวอเมริกันได้ซื้อที่ตรงนั้นเอาไว้ในปี ๑๙๒๐ ด้วยราคาเพียง ๑๕๐ เหรียญอเมริกันสำหรับทำเป็นHacienda

ใกล้ทางออกมีร้านแบกระดินขายของที่ระลึกมากมาย อดใจไว้ไม่ได้ต้องซื้อหน้าของพระเจ้าแห่งน้ำฝนคือ Chac Mool ทำด้วยไม้ไปติดไว้หน้าบ้านที่สวิส มิน่าตั้งแต่ได้พระเจ้าองค์นี้มาแขวนไว้ ฝนถึงได้ตกเอาตกเอาผิดฤดูกาล โชคดียังไม่มีใครถามประวัติ ไม่เช่นนั้นคนสวิสคงจะบอกให้เอากลับไปเก็บไว้ที่เม็กซิโกตามเดิม

Coba

เป็นเมืองร้างอีกแห่งหนึ่งของเผ่ามายา มีความรุ่งเรืองตั้งแต่ปี ๓๐๐ จนถึง ๑๐๐๐ สร้างขึ้นก่อน ชีค คา เน็ทซ่า ในสมัยนั้น มีชาวมายาอาศัยอยู่มากถึงสี่หมื่นคน เพราะมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ จึงมีป่าไม้ต้นไม้ที่ร่มรื่น ยิ่งไปกว่าที่อื่นๆ โบราณสถานแห่งนี้ยังคงสภาพเดิมไว้มากเพราะการขุดค้นเพิ่งเริ่มขึ้นได้ไม่นาน มีความรู้สึกว่าได้เดินตามรอยของชาวเผ่ามายาในสมัยโบราณอย่างแท้จริง

สถาปัตยกรรมชิ้นนี้ยังคงเป็นปริศนาที่นักโบราณคดียังคิดไม่ตกว่าเหตุไรลักษณะการก่อสร้างจึงแตกต่างไปจากสถาปัตยกรรมของเผ่ามายาที่อยู่ใกล้กว่าเช่น ชีค คา เน็ทซ่าหรือของทางเหนือของรัฐยูคาทาน ลักษณะของปิรามิดกลับไปคล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมที่ห่างไปหลายร้อยกิโลเมตร เขามีทฤษฎีตามลักษณะที่เห็นจากวัตถุที่ขุดค้นได้ว่า อาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ของเผ่ามายาที่มีต่อเผ่าอื่นในประเทศกัวติมาลาด้วยการสมรส ฯลฯ ก็เป็นได้ ที่กลุ่มปิรามิดแห่งนี้ มีรูปปั้นและรูปแกะสลักที่งดงามแสดงถึงความมีอิทธิพลของเจ้าผู้ครองนครที่เป็นหญิง มีแผ่นหินสลักแสดงการทำพิธีกรรมต่างๆของเจ้าผู้ครองนครสตรีเพศ แสดงถึงการที่ผู้หญิงใช้อำนาจอันท้าทาย เอาเท้าเหยียบไปบนร่างของเชลยที่จับได้ แม้ว่าการกระทำจะดูกักขละ แต่การสลักที่อ่อนช้อยก็ชดเชยไปได้ เจ้าผู้ครองนครของเมืองโคบา อาจจะไปแต่งงานกับเจ้าผู้ครองนครหญิงของที่อื่นแล้วนำเอามาอยู่ด้วย พร้อมกับนำเอาศิลปะของที่นั่นมาด้วยก็ได้

นอกจากนั้นเมืองโคบายังเป็นศูนย์กลางของถนนมายาหรือ Sacbe ที่ตัดผ่านถึงสี่สิบแห่ง ที่ยาวที่สุดวัดได้ถึงหนึ่งร้อยกิโลเมตร การขุดค้นโบราณวัตถุของสถานที่นี้ยังดำเนินต่อไป เพราะเขาขุดพบไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังเหลือบริเวณให้ต้องสำรวจอีกมากมาย เนื่องด้วยโคบามี กลุ่มปิรามิดที่หลายแห่ง หลุยส์จึงให้นั่งรถสามล้อสองคัน ขี่ไปภายใต้เงาไม้ที่ร่มรื่นของป่าเมืองร้อน แต่คนขี่ต้องคอยระวังไม่ให้รถตกลงไปในหลุมข้างทาง บางครั้งเขานึกสนุกก็ขี่แข่งกัน ผู้นั่งก็ร้องเชียร์เอาใจช่วย สนุกไปด้วย

Valladolid

เป็นเมืองใหญ่เป็นที่สามในแหลมยูคาทาน ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเมืองเมริด้าและเมืองข่างคูน (Cancun) ที่หลุยส์จะพาเราไปขึ้นเครื่องบินไปคิวบาที่สนามบินที่นั่น เราหยุดแวะกินอาหารกลางวันที่โรงแรม El Meson del Marques ที่เคยเป็นบ้านเก่าแก่มาก่อน ร้านอาหารของโรงแรมตั้งอยู่ในสวนที่มีสระว่ายน้ำ หลังอาหารลางวัน เราถือโอกาสเข้าไปชมโบสถ์ของเมืองที่อยู่ติดกับจัตุรัสกว้างเรียกว่า Zocalo มีหญิงที่มีเชื้อสายเผ่ามายาออกมาขายเสื้อปักสีสวยเรียกว่า buipiles แต่น่าเสียดายที่การปักแบบพื้นเมืองของหญิงเม็กซิกัน ได้รับอิทธิพลมามากจากสเปน แม้ว่าจะสวยพอๆกันก็ตาม

The Flavours of Mexico

จะจบสารคดีชุดนี้ไปไม่ได้ หากจะไม่กล่าวถึงอาหารเม็กซิกัน เครื่องดื่มพูดถึงมากแล้วจะไม่ขอพูดถึงอีก ในความเห็นส่วนตัวอาหารเม็กซิกันคงจะเป็นที่ถูกปากของชาวไทย มากกว่าอาหารจีน เพราะมีรสจัดจ้าน เผ็ด การปรุงอาหารขึ้นอยู่กับภูมิภาคของประเทศว่าอยู่ทางเหนือหรือทางใต้ แต่มักจะรวมเอาถั่ว ข้าวโพช และพริกเข้าไว้เสมอ ถ้าไปประเทศเม็กซิโก ขอร้องว่าอย่าพยายามไปหาอาหารไทยกิน เพราะรสชาติของอาหารไทยจะไปเหมือนกับรสชาติของอาหารเม็กซิกัน แม้ว่าอาหารเม็กซิกันจะอร่อยแต่หากเอาไปปรุงเป็นรสชาติของอาหารไทยจะไม่ได้เรื่องเลย

ต้องออกตัวว่าอยู่ต่างประเทศมานาน คุ้นเคยกับอาหารตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ เพราะอยู่ในสังคมของชาวตะวันตกล้วนๆ รสนิยมการกินอาหารไทยของผู้เขียนอาจจะแตกต่างไปจากคนไทยคนอื่นๆที่อยู่ในประเทศไทย ก็เป็นได้ แต่อยากจะบอกว่า ให้ลองชิม Tortillaที่เป็นแผ่นกลมนุ่มๆเหมือนแพนเค้ก ทำจากข้าวสาลีหรือข้าวโพช จิ้มน้ำจิ้มที่ค่อนข้างเผ็ดถึงเผ็ดเรียกว่า salsa เป็นอาหารเรียกน้ำย่อย นอกจากจะอร่อยแล้วยังใช้ ทอร์ทิลล่าแบบขนมปังได้อีกด้วย คือบิออกเป็นชิ้นๆไว้จิ้มซอสหรือเศษอาหารที่ยังค้างอยู่ในจาน salsa จะมีตั้งไว้บนโต๊ะเสมอ อาจจะเปรียบได้กับน้ำปลาพริกของไทยไม่ว่าอาหารที่สั่งจะเป็นอะไร เขามักจะมีถั่ว บดและข้าววางให้เสมอ อาจจะเป็นถั่วแดง ถั่วดำ ที่ต้มแล้ว บดแบบมันฝรั่ง ผสมกับเบียร์และเครื่องเทศ แล้วเอาไปทอดก็อร่อย อีกอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ taco

ในแถบเหนือของเม็กซิโกค่อนข้างแห้งแล้ง มีคาวบอย มีฟาร์มที่เลี้ยงวัวควาย ในแถบนี้จึงมีเนื้อให้กินมากมาย ทำแบบบาร์บีคิว โดยเอาเนื้อไปย่างไฟ หรือไม่ก็ทาด้วยเกลือทำเป็นเนื้อเค็มชนิดหนึ่ง ที่ชอบอีกอย่างก็คือหมูย่างของเขากินอร่อยมาก เมื่อมีวัวก็มีอาหารที่ทำจาก นม เนย และเนยแข็งเป็นอาหารหลัก อาจจะมี Enchiladas หุ้มเนยแข็ง เนื้อไก่ หัวหอม แบบแซนด์วิช เมืองที่อยู่บนฝั่งทะเลก็จะมีอาหารทะเลให้เลือกอย่างเหลือเฟือ ต้องยอมรับว่าชาวเม็กซิกันเข้าใจปรุงให้มีรสชาติอร่อยถูกปากได้อย่างน่าพิศวง

Antojitos เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยของชาวเม็กซิกันคล้ายกับ tapas (ทาพาส) ของสเปน จะสั่งมาเป็นอาหารว่างก็ได้อาหารหนักก็ได้ มีอยู่ในร้านอาหารทั่วไปในเม็กซิโก

Antojitos ที่ป๊อปปิวล่าร์ที่สุดคงจะเป็น ทอร์ทิลล่า และ masa (เมซ่า) ที่คล้ายคลึงกับอาหารของชาวอาหรับ ทำจากข้าวโพชปั้นเป็นรูปกลมบ้าง รีบ้าง แล้วใส่เครื่องปรุงต่างๆลงไป Quesadillas (เควสาดิลล่า) เป็นทอร์ทิลล่าที่ทำจากข้าวโพชหรือข้าวสาลีทอดหรือปิ้ง แล้วใส่เนยแข็งที่ละลายเข้าไปข้างใน อร่อยมาก แต่อาจจะไม่ถูกปากและลิ้นของคนไทย เพราะส่วนใหญ่ไม่ชอบชีส ถ้าไม่ใช้ชีสก็อาจจะใช้พริกหรือหมูย่างใส่ก็ได้

ที่บอกไว้ข้างต้นว่าแม้ไก๊ด์ นายมานูเอล จะพูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่ต้องตะแคงหูฟังให้ดี แกก็มีรสนิยมในเรื่องอาหารไม่เลวเลย เราบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องการไปร้านอาหารที่อร่อย สะอาด และดี ข้อสำคัญต้องมีผ้าปูโต๊ะ แกก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย แถมยังแนะนำเรื่องการกินอาหารของชาวเม็กซิกันให้เสียอีก ขออวยพรให้คุณผู้อ่านทุกคนที่ต้องการลองสิ่งแปลกและใหม่ BUON GUSTO ค่ะ