Sintra and Cascais เมืองซินตรา และ คาชกาย
เราได้เช่ารถเอาไว้ล่วงหน้าแล้วจากสวิส ก่อนที่จะมาถึงลิสบอน จึงไม่ยุ่งยากแต่อย่างใดที่จะไปรับเอารถที่จองไว้แล้ว และสามารถออกเดินทางได้แต่เช้าตรู่ จุดหมายของเราในวันนั้นคือเมือง ซินตรา Sintra ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึง เมื่อได้เห็นเมืองชินตราแล้ว ก็ไม่แปลกใจว่าทำไมเมืองนี้จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกอีกแห่งหนึ่งในปี ๑๙๙๕
Moorish Castle ปราสาทในสไตล์ของชาวมัวร์ที่ตั้งอยู่บนเขา เห็นเด่นแต่ไกล สร้างขึ้นในศ ตวรรษที่แปด และเป็นตัวอย่างที่สวยงามขึงขังของสถาปัตยกรรมแบบทหารชาวมัวร์ที่ยังคงรักษาเอาไว้ให้เห็นได้ในประเทศปอร์ตูเกส กำแพงและบันไดที่ทอดยาวคดเคี้ยวขึ้นไปบนปราสาทแลดูเหมือนป้อมปราการที่แข็งแรงมั่นคง
Royal Palace of Sintra เป็นวังพักร้อนที่ประทับของราชวงศ์และศักดินาของประเทศปอร์ตุเกสในสมัยก่อน เมื่อพวกเขาต้องการหนีจากอากาศร้อนหรือโรคร้ายที่ระบาดขึ้นในเมือง รวมถึงใช้เป็นสถานที่พักผ่อนขี่ม้าในหมู่มิตรสหาย วังนี้เป็นเพชรงามอีกเม็ดหนึ่งที่เป็นสไตล์ของชาวมัวร์ในอดีต แต่ได้รับการขยายให้ใหญ่ขึ้นโดย Dom Dinis ในปีค.ศ. ๑๒๖๑ ถึง ๑๓๒๕ หอคอยสีขาวรูปกรวยสองหอที่ทอดขึ้นไปสูงเหนือหลังคาเป็นจุดเด่นของวัง ตั้งอยู่ในบริเวณอันกว้างใหญ่ สถานที่แห่งนี้ได้รับการขยายและบูรณะซ่อมแซมหลายครั้งหลายหน จึงมีรูปลักษณะไม่เหมือนใคร
The Palace of A Pena ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีบรรยากาศอันสงบเงียบ เป็นมาสเตอร์พีสอีกชิ้นหนึ่งในสไตล์ที่เรียกว่า Portuguese Romanticism ซึ่งสร้างขึ้นจากวิหารที่มีอยู่แล้วดั้งเดิมกลางศตวรรษที่ ๑๙โดยได้ว่าจ้างสถาปนิกชาวเยอรมันออกแบบให้ วังนี้จึงเป็นแบบผสมระหว่างอียิปต์ ตะวันออก โกธิค แมนูเอล และ เรเนซองส์ ที่กลมกลืนเข้ากันได้อย่างแนบเนียนและสวยงาม สีที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นสีที่ทาใหม่เมื่อไม่นานมานี่เอง คือสีเหลือง สีนวลและสีน้ำตาล
รู้สึกทึ่งเมื่อได้เห็นปารค์ Parque da Pena ซึ่งอยู่ใกล้กัน ในบรรยากาศที่สงบเงียบ มีพืชพรรณต้นไม้ค่อนข้างจะเป็นแบบเมดิเตอเรเนียน เพราะอากาศที่ค่อนข้างชื้น และติดจะร้อน ผลที่ได้รับจากการบูรณะรักษาสถานที่ทั้งหมดนี้ในซินตรา ทำให้สถานที่ต่างๆเหล่านี้กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของประเทศปอร์ตุเกสที่ควรชื่นชม
หลังจากที่ขับรถวนไปรอบๆแล้ว เราก็ไปหยุดที่ศูนย์กลางของเมืองเก่า ซึ่งค่อนข้างจะจอแจไปด้วยนักท่องเที่ยวชาติต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป เห็นนักท่องเทียวชาวญี่ปุ่นบ้างประปราย มีร้านขายของที่ระลึก จำพวกสินค้าที่ทำด้วยมือสวยงามมากมาย โดยเฉพาะผ้าปูโต๊ะ ผ้าเช็ดมือ และเครื่องสลักต่างๆ
ไปแวะที่ร้านกาแฟ สั่ง Travesseiros (Pillow cases) และ Queijadas ซึ่งเป็นขนมที่มีชื่อเสียงมากของปอร์ตุเกสมาทานกับกาแฟ ขนมสองชนิดนี้อร่อยมาก ทำจากแป้งเพสตรี่มีลักษณะเหมือนขนมทารท์ บังเอิญเป็นคนไม่ชอบของหวาน ก็เลยไม่ได้ติดอกติดใจอะไรมากนัก เพียงแต่ สั่งมาชิมว่ารสชาติเป็นอย่างไรเท่านั้น ส่วนใครที่ชอบของหวานก็คงจะชอบ มองหาขนมจำพวกทองหยิบ ฝอยทอง ฯลฯ ที่เขาเล่าว่าได้มาจากประเทศปอร์ตุเกส แต่ก็ไม่เห็นอะไรที่คล้ายคลึงเลย ทั่วทั้งประเทศ ไม่ทราบว่าเรื่องนี้กุเป็นตำนานแบบประวัติของมาร์โคโปโลหรือเปล่า ที่บอกว่าได้ไปอยู่เมืองจีนมาเนิ่นนานหลายปี จนได้ก๋วยเตี๋ยวของจีนมาดัดแปลงเป็นเส้นสปาเกตตี้ของชาวอิตาเลียน
Cabo da Roca เราขับรถไปทางตะวันตกของเมืองซินตรา โดยใช้ถนนที่เลียบขึ้นไปบนเขา มองลงไปแลเห็นวิวอันสุดสวยของมหาสมุทรแอตแลนติด น้ำสีเขียวมรกต เป็น ประกายล้อเล่นกับแสงอาทิตย์ที่ค่อยโผล่พ้นหมอกออกมาทีละน้อย ในราว ๑๘ กิโลเมตรก็มาถึง Cabo da Roca หรือRock Cape ที่เป็นหน้าผาอันสูงชันเหนือน้ำทะเลที่โถมซัดเข้าหาฝั่งอย่างกระแทกกระทั้นรุนแรง แหลมหินแห่งนี้ เป็นจุดที่อยู่ไปทางตะวันตกที่สุดของทวีปยุโรป ซึ่งในอดีตจนถึงต้นศตวรรษที่ ๑๕ เคยเชื่อกันว่าเป็นจุดสิ้นสุดของผืนโลกที่มนุษย์รู้จัก ลมพัดกระโชกมาแรงจนแทบจะตั้งตัวไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะมีแสงแดดค่อนข้างจะจัด แต่ก็เย็นยะเยือกด้วยแรงลม ทำให้ระลึกถึง สถานที่ๆอยู่ไปทางเหนือสุดของประเทศ สก๊อตแลนด์ John O’Groot ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกัน
Cascais ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใน คาชกาย เคยเป็นชาวประมงมาก่อน เพราะเมืองตั้งอยู่บนฝั่งทะเล แม้แต่ในปัจจุบัน ชาวบ้านหลายคนคงยังชีพอยู่ด้วยการจับปลาเป็นส่วนใหญ่ นอกเหนือจากการท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี ในปีค.ศ. ๑๘๗๐ พระราชวงศ์และขุนน้ำขุนนางผู้ติดตามรับใช้ เริ่มจะมาพักผ่อนกันที่นี่ในช่วงฤดูร้อน เพราะคาชกายมีหาดทรายและทะเลที่สวย เหมาะสำหรับว่ายน้ำ ยังคงมีวังเล็กวังน้อยอันเคยเป็นที่ประทับของพระราชวงศ์เหลือให้เห็น ตอนที่เราไปถึงมีชาวเมืองออกมานั่งเล่นพักผ่อนกันบนม้านั่งริมหาด มีหนุ่มสาวในชุดอาบน้ำ แต่ไม่มีใครลงไปว่าย เนื่องจากลมเย็นที่พัดมา
แวะทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารเล็กๆน่ารักแห่งหนึ่ง อาหารที่สั่งเป็นปลาเช่นเคย คราวนี้ไม่ได้ดื่มไวน์ เพราะยังต้องขับรถอีกตลอดทั้งวัน ได้นั่งโต๊ะติดกับสามีภรรยาชาวอเมริกันคู่หนึ่ง ซึ่งเป็นชาวเมืองหลวงของสหรัฐฯ ได้แลกเปลี่ยนทัศนะในการเดินทางกันอย่างรื่นรมย์ ตอนแรกเขาคิดว่าเราเป็นชาวคะเนเดียน เขาเล่าว่าได้เดินทางมาประเทศปอร์ตุเกสด้วยรถไฟจากลอนดอนอันเป็นที่ๆเขาพำนักอยู่ในปัจจุบันได้เกือบปีแล้ว
ช้เวลาในการเดินทางจากลอนดอนถึงลิสบอน สี่สิบแปดชั่วโมง และจากลิสบอนก็ได้นั่งรถไฟมาเมืองคาชกาย พอรู้ว่าผู้เขียนเกิดในเมืองไทย เขาจึงเล่าให้ฟังว่าเคยไปอยู่กรุงเทพฯนานถึงสี่ปี เมื่อสามสิบปีมาแล้ว ไม่ได้ถามว่าเขามีอาชีพอะไร แต่เดาเอาว่าคงจะเป็นนักการทูต เพราะมาจากวอชิงตัน ดีซี และไปทำงานตามเมืองหลวงต่างๆของโลก
สำหรับตัวผู้เขียนเอง การเดินทางนอกจากจะไปศึกษาหาความรู้เปิดหูเปิดตาแล้ว ยังมีโอกาสได้ไปพบผู้คนต่างชาติ ต่างภาษา ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้และทัศนะซึ่งกันและกัน ซึ่งในความเห็นส่วนตัวเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก ยิ่งเป็นนักเขียนด้วยแล้วย่อมได้ประโยชน์มหาศาลจากการแลกเปลี่ยนทัศนะกับชาวต่างชาติต่างภาษา ไม่จมปลักอยู่กับทัศนะเดิมๆ
ไม่ไกลจาก Cascais เท่าไร มีเมืองเล็กๆน่ารักอีกเมืองหนึ่งคือ Estoril ซึ่งเป็นเมืองที่มีกาสิโนเก่าแก่ เป็นสถานที่จูงใจให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวใช้จ่ายเงินทอง นับว่าเป็นการช่วยเหลือเศรษฐกิจของประเทศได้อีกทางหนึ่ง หลังจากนั่นเราเดินทางกลับไปพักที่ลิสบอนอีกคืนหนึ่งก่อนที่จะเดินทางต่อไปเมืองอื่นๆในช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
Obidos ไม่ได้คาดฝันเลยว่าจะมาพบเพชรเม็ดงามอีกเม็ดหนึ่ง ระหว่างที่ขับรถไปเมือง Coimbra แม้ว่าจะได้เคยเห็นรูปของโอบิโดสมาแล้วทางอินเตอร์เน็ตก็ตาม แต่ไม่คิดว่าเมืองเล็กๆแห่งนี้ จะสวยมีเสน่ห์ถึงปานนี้ เพราะส่วนใหญ่รูปที่เห็นมักจะลวงตาเสมอ เพราะฉะนั้น เมื่อได้ไปเห็นของจริง จึงได้แต่อุทานด้วยความประทับใจ Obidos เป็นเมืองในสมัยกลางที่ทางการยังคงรักษาเอาไว้ได้อย่างเยี่ยมยอด ตั้งอยู่บนเนินเขาหินปูน มองจากถนนด้านล่างขึ้นไป ดูน่ากลัวเพราะมี กำแพงในสมัยศตวรรษที่สิบสองโอบล้อมเอาไว้ แต่เมื่อได้เข้าไปถึงใจกลางเมืองแล้ว จะเห็นบ้านเรือนน่ารักทาด้วยสีขาวขลิบด้วยสีฟ้าและเหลือง มีดอกไม้สีสวยหลายชนิดเช่นดอกกุหลาบ ดอกไลแลค สีขาวและสีม่วงมีกลิ่นหอม รวมไปถึงดอกเฟื่องฟ้า ที่เจ้าของบ้านปลูกให้เลื้อยอยู่ตามฝาผนังและขอบหน้าต่าง
ตอนที่ไปถึงยังคงค่อนข้างจะเช้าอยู่ จึงไม่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่านสักกี่คน อันที่จริงเมืองเล็กๆของประเทศปอร์ตุเกสไม่สู้จะมีนักท่องเที่ยวมากนัก เพราะพวกเขาไปเที่ยวเมืองใหญ่ๆกันเสียหมด ซึ่งก็เป็นโชคดีของเรา ที่มีโอกาสได้เดินดูเมืองและถ่ายรูปได้อย่างสบายไม่มีใครรบกวน อยากจะพูดว่าในความเห็นส่วนตัว โอบิโดสเป็นเมืองที่สวยที่สุดในประเทศนี้ แม้ว่าตอนที่ไปจะยังไม่มีนักท่องเที่ยวมากนัก แต่คิดว่าคงจะมีพอสมควร สังเกตได้จากร้านเล็กๆน่ารักขายของที่ระลึกต่างๆ และของที่ทำจากมือซึ่งมีราคาไม่น้อยเลย
ในระหว่างศตวรรษที่ ๑๓ และ ๑๙ กษัตริย์ของปอร์ตุเกส ใช้โอบิโดส เป็นของหมั้นแก่เจ้าหญิงที่พึงใจและจะสมรสด้วย เมื่อได้เห็นความสวยมีเสน่ห์ของเมืองแล้ว โอบิโดสคงจะเป็นของหมั้นที่ถูกใจเจ้าสาวอย่างไม่มีข้อสงสัย
เริ่มต้นจาก Dom Dinis ที่ได้อวดเมืองน่ารักแห่งนี้แก่พระมเหษีของพระองค์คือDona Isabel หรือ พระนางเจ้าอิสเบลในปีค.ศ. ๑๒๒๘ ทันทีที่ได้เห็น พระองค์ก็ตกหลุมรักกับเมืองนี้ แสดงว่าโอบิโดสคงจะเป็นเมืองที่สวยอยู่แล้ว กษัตริย์ดีนิส จึงได้ถวายเมืองนี้แก่พระนาง เป็นของขวัญ ตั้งแต่นั้นมา การยกเมืองนี้เป็นของหมั้นแก่หญิงที่กษัตริย์จะทรงสมรสด้วย ได้กลายเป็นประเพณีสืบทอดมาจนถึงศตวรรษที่สิบเก้า
เราดินผ่านประตูเข้ากำแพงทางด้านใต้ พบว่าภายในเป็นถนน cobblestone คับแคบ มีบันไดหลายแห่ง ทอดขึ้นไปบนโบสถ์ วิหาร บ้านช่องและตึกราม เราไต่บันไดแห่งหนึ่ง ผ่านเข้าทางตัวโบสถ์ของ Santa Maria ซึ่งเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ ผ่านโบสถ์ Sao Pedro ภายในมีแท่นบูชาสร้างในแบบบาโรค ผ่าน โบสถ์ Santiago ซึ่งเคยเป็นโบสถ์ของปราสาทมาก่อน ภายนอกกำแพงมี Sanctuary of O Senhor Jesus de Pedra ที่เชื่อกันว่ามีปฏิหารย์เกิดขึ้นหลายครั้ง
แต่สิ่งที่ประทับใจที่สุดก็คือ ความเงียบสงบ แม้ว่าจะมีถนนแคบๆให้รถวิ่งผ่านนอกกำแพงเมืองแต่ก็เป็นแบบวันเวย์ ไม่มีเสียงรบกวนจากแตรหรือเครื่องยนต์เลย ทั่วบริเวณมีกลุ่มกังหัน ทุ่งต้นข้าวสาลี ต้นมะกอก ลูกพีช องุ่น และแอพริค็อทขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น มีทุ่งดอกฝิ่นสีส้มสวยล้อเล่นอยู่ในสายลมเย็น ช่างเป็นภาพที่ติดตราตรึงใจจริงๆ
Nazare เราเดินทางต่อไปยังเมือง Nazare ซึ่งเป็นเมืองของชาวประมงอีกเมืองหนึ่ง มีหญิงชาวเมืองแต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองสองสามคนนั่งขายของกินเล่นจำพวกถั่วและลูกนัทอยู่ แต่ละคนนุ่งกระโปรงแค่เข่าพองบานด้วยข้างในมี เป๊ตติโค๊ตซ้อนกันถึงหกชั้น ใส่เสื้อสีสดใสปักเป็นลวดลายต่างๆ มีผ้าลายโพกหัวไว้ คนหนึ่งตั้งแผงขายถั่วชนิดต่างๆ มีขนมกลมๆขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายถั่วตัดอยู่ด้วย ขนาดของถั่วตัดใหญ่เกือบเท่าพิซซ่าชิ้นใหญ่คุณป้ายื่นถั่วชนิดต่างๆให้เราชิม ฉันติดใจในรสชาดของถั่วชนิดหนึ่งซึ่งไม่เคยกินมาก่อน จึงขอซื้อเอามาถุงหนึ่ง
เธอใช้กระป๋องไม้สี่เหลี่ยมขนาดเล็กและขนาดใหญ่เป็นเครื่องตวง ขอซื้อแบบขนาดเล็กรวมถึงถั่วตัดด้วยโดยไม่ทันสังเกตราคา ปรากฏว่าเป็นเงินถึงสิบยูโร คิดเป็นเงินไทยก็ตกในราว สี่ร้อยห้าสิบบาท ทำไงได้ซื้อมาแล้ว ก็จำต้องกินไปร้องไห้ไป ด้วยความเสียดายเงินและความเซ่อของตนเอง
นอกจากโบสถ์ และระเบียงกว้างที่ยื่นออกไปเหนือน้ำทะเลสำหรับดูวิวแล้ว เมืองนี้ไม่มีสิ่งไรที่น่าสนใจมากนัก หากไม่มีเวลาก็ผ่านเลยไปได้ แต่สำหรับนักช็อป มีร้านใหญ่ขายของที่ระลึกประเภทเย็บปักถักร้อยมากมาย น่าซื้อหาเป็นที่ยิ่ง แต่อย่างที่คุณผู้อ่านทราบแล้วว่า ผู้เขียนคนนี้ไม่สนใจช็อปปิ้งสักเท่าไหร่ ไปเที่ยวไหนก็มักจะไม่ซื้ออะไรให้รกรุงรังและเป็นภาระ อีกประการหนึ่งเพื่อนๆชาวสวิสก็ไม่สนใจที่จะได้รับของฝาก เพราะไม่ใช่ธรรมเนียมที่ไปไหนที จะต้องซื้ออะไรต่ออะไรไปฝากเพื่อนฝูงโดยไม่มีเหตุอันสมควร ถ้าขืนทำเช่นนั้น บางครั้งเขาอาจจะกระแนะกระแหนให้ด้วยซ้ำว่า “อ๋อ เพราะเขาเป็นคนมีเงิน”
Alcobaca อัลโคบาคา เป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบ เราใช้เวลาเล็กน้อยวนเวียนหาที่จอดรถ เพราะแม้จะเห็นโบสถ์เด่นแต่ไกล ก็หาถนนที่จะเข้าไปจอดลำบาก เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นลานจอดรถที่สงวนไว้จำเพาะบ้าง ห้ามจอดบ้าง แต่ในที่สุดก็ไปได้ที่จอดในตัวเมืองทางด้านหลังซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโบสถ์ หากไม่ได้อ่านหนังสือมาล่วงหน้า ก็คงจะขับเลยไป เพราะดูทั่วๆไปแล้วตัวเมืองเองไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่เรามาที่นี่เพื่อจะเข้าไปชมโบสถ์ Mosteiro de Santa Maria de Alcobaca หรือ Royal Abbey of Santa Maria เมื่อได้ไปเห็นความโอฬารของโบสถ์แล้ว จึงได้เข้าใจว่าเหตุไรโบสถ์แห่งนี้จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกอีกแห่งหนึ่งในปีค.ศ. ๑๙๘๙
Dom Afonso Henriques กษัตริย์องค์แรกของปอร์ตุเกส ทรงสร้างโบสถ์นี้ขึ้นมา ในปีค.ศ. ๑๑๔๗ เพื่อรักษาคำสัญญาที่ให้ไว้แก่ นักบุญเบอร์นาร์ด ว่าถ้ารบได้ชัยชนะเอาเมือง Santarem ที่แขกมัวร์เคยใช้เป็นศูนย์กลางการค้าและเคยเป็นฐานทัพอยู่หลายปี มาเป็นของตนได้แล้วก็จะสร้างโบสถ์อุทิศให้ เมื่อเริ่มก่อสร้าง พระองค์ได้บริจาคที่ดินรอบๆเมือง อัลโคบาคา อีกเป็นจำนวนมากให้พระสงฆ์ในนิกายหนึ่งซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ก่อสร้าง อีกสี่สิบปีต่อมา อัลโคบาคา ได้กลายเป็นเมืองหนึ่งที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากที่สุดในประเทศ ในสมัยนั้นมีพระสงฆ์ประจำอยู่ถึง ๙๙๙ องค์ ที่ประกอบพิธีมิซซาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงโดยไม่ได้หยุดเลย
หน้าที่การงานของพระสงฆ์ในช่วงนั้นเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากกสิกรรม เป็นการสอน หนังสือ แล้วค่อยๆเปลี่ยนเป็นการสลักรูปต่างๆจากหินบ้าง จากดินบ้าง แต่ในที่สุดเมื่อมาในศตวรรษที่ ๑๘ พวกเขาก็ได้มาถึงจุดเสื่อม มีนักเขียนคนหนึ่งในสมัยนั้นเขียนเล่าว่า พระสงฆ์ที่พำนักอยู่ที่นี่ ได้กลายเป็นพระที่มูมมามตะกละตะกราม เอาแต่กินและดื่ม จนอ้วนพีไปตามๆกัน สังเกตได้จากโรงครัวมหึมาที่มีท่อน้ำต่อมาจากแม่น้ำของเมือง เพื่อให้ความสะดวกในการประกอบอาหารและชำระล้าง ในระหว่างที่กินอาหารกันเงียบๆในโรงอาหาร ที่เรียกว่า refectory (โรงอาหารของนักเรียนประจำในคอนแวนต์ก็เรียกเช่นเดียวกัน) จะมีพระสงฆ์รูปหนึ่งอ่านพระคัมภีร์จากแท่นที่อยู่ตรงกันข้าม ประตูทางเข้าโรงอาหารเป็นประตูแคบ ซึ่งพวกเขาจะต้องเดินผ่านเข้าไป หากพระสงฆ์รูปใดเดินผ่านประตูนี้เข้าไปไม่ได้ ก็จะถูกบังคับให้อดอาหารลดความอ้วน
สิ่งที่มีค่าที่สุดในโบสถ์สไตล์ต้นๆโกธิคแห่งนี้คือ พระแท่นฝังศพสองแท่นสร้างในศตวรรษที่ ๑๔ เป็นที่ระลึกถึงตำนานเรื่องรักอันเศร้าแบบโรเมโอ และจูเลียต ของ Dom Pedro และพระชายาชื่อ Ines ถึงแม้ว่าพระแท่นฝังศพนี้จะถูกทำลายไปโดยทหารกองทัพฝรั่งเศสในปี ค.ศ. ๑๘๑๑ เพราะต้องการค้นหาสมบัติอันมีค่าในโบสถ์ แต่ก็ได้รับการซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ รูปแกะสลักแสดงประวัติของพระเยซูยังมีหลงเหลืออยู่ให้เห็น พร้อมทั้งกงล้อแห่งโชคชะตาที่อยู่ปลายเท้าของ กษัตริย์เพโดร ตลอดจนรูปแกะสลักแสดงถึงวันตัดสินโลกอันน่าสะพรึงกลัวของพระผู้เป็นเจ้า ที่อยู่เหนือศีรษะของพระนาง Ines เป็นรูปแกะสลักที่น่าทึ่ง บนพระแท่นฝังศพที่ปลายเท้าของทั้งสองด้านซึ่งหันหน้าเข้าหากัน จารึกในภาษาปอร์ตุเกสว่า “Alte ao Fim do Mundo” แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Until the End of the World. จนกว่าจะถึงวาระสิ้นสุดของโลก เพื่อว่าเมื่อวันนั้นมาถึงเขาทั้งสองจะสามารถลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากันได้ในทันที
ดอมเพโดรเป็นพระโอรสของ Dom Afonso IV เพโดรตกหลุมรักของ Dona Ines de Castro ซึ่งเป็นนางสนมของมเหษีของตนคือพระนาง Galican ถึงแม้ว่ามเหสีของพระองค์จะสิ้นชีพตักษัยไปแล้ว แต่พระราชบิดาก็ยังไม่ทรงยินยอมให้เพโดรสมรสนกับดอนย่า อิเนส เพราะเธอสืบเชื้อสายมาจากชาวสเปนซึ่งพระองค์เกรงกลัวอิทธิพลหนักหนา แต่พวกเหล่าขุนนางชั่วชาติ ต่างก็พร้อมใจกัน “ข่มขู่กดดัน” จนในที่สุดพระองค์ตัดสินพระทัยสั่งประหารชีวิต ดอนย่าอีเนส ในปีค.ศ. ๑๒๕๕ โดยไม่ได้ทรงล่วงรู้ว่าทั้งเพโดรและอิเนสได้สมรสกันแล้วอย่างลับๆ
สองปีให้หลังเพโดรได้ขึ้นครองราชย์แทนพระบิดา จึงทรงแก้แค้น ขุนนางเหล่านั้นด้วยการจับมาแหกอกและควักหัวใจมากิน หลังจากนั้นก็ได้ขุดเอาศพของอิเนสขึ้นมา แล้วสรวมมงกุฎให้ แค่นั้นยังไม่หนำใจ พระองค์ออกคำสั่งให้อำมาตย์ทั้งหลายที่อยู่ในวังออกมาถวายความเคารพศพของดอนย่าอิเนส ด้วยการจูบมือที่เปื่อยเน่า
แม้ว่าจะมีสิ่งน่าดูอื่นๆในโบสถ์อีกมากมาย แต่หลังจากได้พาคุณผู้อ่านไปชมพระแท่นฝังศพของ ดอมเพโดรและดอนย่าอิเนส พร้อมถึงได้เล่าถึงประวัติให้ฟังแล้ว การจะพาคุณผู้อ่านไปชมและเล่าเรื่องอื่นในโบสถ์ให้ฟัง ก็คงจะเป็นการแอนตี้ ไคลแม๊กซ์สักหน่อย ใช่ไหมคะ?
Batalha เป็นเมืองเล็กๆ ที่รัศมีของเมืองถูกบดบังจากชื่อเสียงของโบสถ์อันโอฬาร ที่สร้างโดยกษัตริย์ Joao I หรือ John I โดยใช้เนื้อที่เกือบทั้งหมดของเมืองเพื่อการสร้าง Monastery de Santa Maria daVitoria ซึ่งก็ได้รับการลงทะเบียนให้เป็นมรดกจากยูเนสโกในปีค.ศ. ๑๙๘๓ เช่นกัน ภายในโบสถ์บรรจุคำสวดภาวนาของพระเจ้าจอห์นก่อนจะทำสงคราม Aljubarrota กับสเปนในปีค.ศ. ๑๓๘๕ เมื่อได้ชัยชนะจากสงครามแล้ว พระองค์ได้บัญชาให้สร้างอนุสาวรีย์ไว้เป็นที่ระลึก นั่นก็คือ โบสถ์แห่งนี้นี่เอง แต่ด้วยความใหญ่โตมโหฬารของโบสถ์ การก่อสร้างจึงใช้เวลานานถึงสองร้อยปี ด้วยเหตุนี้ โบสถ์ซานตามารีอาจึงมีลักษณะการก่อสร้างแบบผสมผสานรวมกัน มีทั้งสไตล์โกธิค แบบเฉพาะของปอร์ตุเกส และของแมนูเอลรวมอยู่ด้วย
ประตูทางเข้าด้านหน้าเป็นตัวอย่างที่เยี่ยมยอดของโกธิค แบบมีชีวิตชีวา มีรูปสลักของคนสำคัญต่างๆในพระคัมภีร์ Old Testament ภายในโบสถ์แบ่งออกเป็นระเบียงสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นที่ฝังพระบรมศพของพระเจ้าจอห์นที่หนึ่งและพระมเหษี อีกด้านหนึ่งเป็นวิหารเล็กๆสำหรับพระราชวงศ์ ตกแต่งด้วยแบบของแมนูเอล นอกจากนั้นก็มีห้องสวด Imperfect Chapel มีชื่อเช่นนั้นก็เพราะที่ว่างสำหรับการก่อสร้างต่อเติม ถูกทิ้งไว้เช่นเดิมตั้งแต่ไหนแต่ไรมาโดยไม่มีการสร้างให้เสร็จสมบูรณ์
เมืองบาทาลฮาเติบโตขึ้นจากการย้ายเข้ามาอยู่ของศิลปินก่อสร้างและกรรมกรเป็นจำนวนมาก ที่เดินทางมา เพราะต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างโบสถ์ ยังคงมีบ้านที่หลงเหลือมาจากในสมัยนั้นให้เห็น และทางการยังคงรักษาเอาไว้อย่างดี
Fatima ได้ยินชื่อของแม่พระฟาติมาเป็นครั้งแรก เมื่ออายุประมาณสิบขวบขณะ เรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนคอนแวนต์แห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ ถ้าจำไม่ผิดนักเรียนในโรงเรียนที่นับถือศาสนาคาธอลิค ถูกเกณฑ์ให้ไปร่วมขบวนแห่รูปปั้นของแม่พระองค์นี้ พระนามของแม่พระฟาติมาจึงฝังใจตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
ไม่ว่าคุณผู้อ่านจะเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์หรือไม่ก็ตาม เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้คิดว่าน่าสนใจพอควร เมืองฟาติมาได้กลายเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของผู้แสวงบุญทั้งหลายทั่วโลก บางคนอาจจะเห็นว่าทางการปอร์ตุเกสถือโอกาสใช้แม่พระฟาติมาเป็นเครื่องมือหากิน โฆษณาชวนเชื่อและชักชวนให้ผู้แสวงบุญจำนวนถึงหกล้านคนในแต่ละปี หลั่งไหลเข้ามายังสถานที่ๆเชื่อกันว่า พระแม่มารีอาผู้บริสุทธิ์และเป็นพระมารดาของพระเยซูได้มาปรากฏกายขึ้นที่นี่ ให้เด็กเลี้ยงแกะสามคนได้เห็น แม้ว่าโลกจะได้เปลี่ยนแปลงพัฒนาไปมากแล้วก็ตาม
การที่จะปิดหูปิดตาให้ผู้คนจมอยู่กับความเชื่อ และศรัทธาเช่นในสมัยก่อน คงจะเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก อย่างไรก็ดี ยังมีผู้ศรัทธาไปแสวงบุญกันไม่ขาดสาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้โลกในปัจจุบันจะเป็นโลกไฮเทค แต่ ความเชื่อและศรัทธาที่เรียกกันว่า Faith ของแต่ละคนเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ซึ่งไม่อาจจะมีอะไรหรือสิ่งใดมาห้ามกันได้
จอดรถที่ลานจอดอันกว้างขวางร่มรื่น แล้วเราก็เดินเข้าไป สิ่งแรกที่เห็นคือโบสถ์ Basilica อันใหญ่โตกว้างขวาง บรรจุคนได้ถึงเก้าพันในคราวเดียวกัน การก่อสร้างเพิ่งแล้วเสร็จเมื่อสองปีที่แล้วนี่เอง สิ่งที่น่าสนใจภายในโบสถ์คือหีบศพของเด็กเลี้ยงแกะสองคน คนหนึ่งคือ ฟรานซิสโกที่ได้รับพรแล้วจากพระเป็นเจ้า Blessed Francisco ที่ตายเมื่ออายุได้สิบเอ็ดขวบจากไข้หวัดใหญ่ และ Blessed Jacinta ตายเมื่ออายุได้ สิบขวบด้วยไข้หวัดใหญ่เช่นเดียวกัน ส่วน ลูเซีย เด็กเลี้ยงแกะคนที่สามที่เห็นปาฏิหารย์ ได้บวชเป็นชีที่อารามในเมือง โคอิมบรา และเพิ่งตายเมื่อ ปีค.ศ. ๒๐๐๕ นี่เอง
เดินทะลุโบสถ์ออกไปมีระเบียงใหญ่ มีบันได้หลายขั้นที่พาเราลงไปสู่จตุรัสอันกว้างมหึมา ตำราบอกว่ามีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของมหาวิหาร St. Peter (เซ็นต์ปีเตอร์) ในกรุงโรม ทางขวามือเป็นกุฏิหลังคาราบแบน มีรูปปั้นของแม่พระฟาติมาบรรจุอยู่ รูปปั้น ล้อมกรอบด้วยกระจกสี่เหลี่ยม เข้าใจว่าจะติดเครื่องรักษาความปลอดภัย เมื่อเทียบรูปปั้นกับความโอฬารของสถานที่ทั้งหมดแล้ว แม้ว่ารูปปั้นจะแลดูอ่อนช้อยและงดงาม แต่ก็ให้ความรู้สึกว่าจะเล็กกระจิดหริดเล็กนิดเดียว ตรงกลางบริเวณจตุรัสเป็นรูปปั้นของพระแม่มารีอาในอีกชื่อหนึ่งคือ แม่พระหฤทัย หรือ Sacred Heart ตั้งอยู่ หอคอยกระดิ่งของโบสถ์ Basilica มีความสูงถึง ๖๕ เมตร เด่นผงาดเหนือท้องฟ้า เห็นได้แต่ไกล
ตอนไปมีนักแสวงบุญผู้หญิงหลายคน เดินเข่าข้ามจตุรัสอันกว้างขวาง ในมือถือลูกประคำ หรือ Rosary พร่ำสวดภาวนาอยู่ตลอด เวลา เข้าใจว่าคงจะสวดบท Hail Mary Mother of God ขอพรจากแม่พระอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นพระมารดาของพระผู้เป็นเจ้า ให้ดูแลคุ้มครองทั้งคนเจ็บและคนดี ขอความเมตตาจากพระองค์ให้ยกโทษต่อความผิดทั้งหลาย บางคนก็ถวายดอกไม้ และจุดเทียนสักการะ
ชีวิตของเด็กเลี้ยงแกะสามคนจากหมู่บ้านไม่ไกลจากเมืองฟาติมานักไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปตั้งแต่วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๑๗ เป็นต้นมา ในวันอาทิตย์นั้น ขณะที่ Lucia Francisco และ Jacinta กำลังเลี้ยงแกะอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า ถ้ำไอรา Cave of Ira ทันทีทันใดนั้นเด็กทั้งสามคนก็เห็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งเหนือต้นโอ๊ค เป็นร่างรางๆของหญิงผู้หนึ่งในชุดสีขาว ล้อมรอบด้วยแสงเรืองรอง มีแต่เพียง ลูเซีย ที่มีอายุมากที่สุดเท่านั้นที่สามารถพูดกับสตรีผู้นั้นได้ ยาชินตาเห็นและได้ยินเสียง ในขณะที่ ฟรานซิสโก พี่ชายเพียงแต่เห็นร่างของเธอ เชื่อกันว่ามีนางฟ้ามาปรากฏตัว และประกาศถึง การปรากฏร่างของสตรีลึกลับแล้วล่วงหน้าเป็นเวลาหลายครั้ง ภายในเวลาห้าเดือน จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๓ ตุลาคม สุภาพสตรีลึกลับที่นางฟ้าได้ประกาศว่าจะมาปรากฏให้เห็น จึงได้มาปรากฏตัวขึ้นจริงๆ และได้ประกาศต่อหน้าคนจำนวนเจ็ดหมื่นคนที่มาเป็นสักขีพยานจากที่ต่างๆในปอร์ตุเกส ว่าเธอคือ พระนางมารีอาผู้บริสุทธิ์แห่งลูกประคำ Virgin of the Rosary
ปาฏิหาริย์ที่พระองค์สร้างอีกประการก็คือ สามารถเคลื่อนพระอาทิตย์ได้เป็นเวลานานถึงสิบนาที่ แม้แต่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในส่วนอื่นของประเทศ ก็ได้เป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์นี้เช่นเดียวกัน ปาฏิหารย์ที่เกี่ยวกับพระอาทิตย์เคลื่อนที่ ถูกเรียกว่า the sun dance หรือพระอาทิตย์ลีลาศ แน่นอนข่าวคราวอันแปลกประหลาดมหัศจรรย์เยี่ยงนี้ ได้กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟไหม้ป่า จนกระทั่งเมืองฟาติมาได้กลายเป็นแหล่งแสวงบุญที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก
ถ้าใครไม่รังเกียจที่จะไปเบียดเสียดกับผู้คนที่แออัด ก็อาจจะเดินทางมาที่นี่ได้ในวันที่ ๑๒ และ ๑๓ พฤษภาคม หรือไม่ก็วันที่ ๑๒ และ ๑๓ ตุลาคมของทุกปี ในช่วงที่นักแสวงบุญจากทั่วประเทศ และทั่วโลกแห่แหนกันมาที่นี่เพื่อเฉลิมฉลอง Fatima จึงมีโรงแรม บ้านพักให้เช่าเต็มไปทั้งเมือง