สมัยอยู่เมืองไทยยังเป็นโสด ทำงานทำการหาเลี้ยงชีพตนเองได้สบายๆ ไม่ได้เป็นชาวเกาะ (สามี) เช่นในปัจจุบัน เป็นคนที่รักอิสระเป็นชีวิตจิตใจ ถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก จะไปไหนมาไหนไม่ค่อยจะคอยขอให้ใครมาเป็นเพื่อน นึกอยากจะไปก็ไป เพื่อนคนไหนอยากจะมาร่วมด้วยก็ยินดี หากไม่ต้องการมาด้วยก็ไม่เซ้าซี้ มักจะไปเองตามลำพังแม้กระทั่งไปดูหนัง
ในสมัยนั้น บริษัททัวร์รอแยล (Tour Royale) ซึ่งเป็นบริษัททัวร์สมัยบุกเบิกในกรุงเทพฯ ได้จัดรายการไปเที่ยวเชียงใหม่ เชียงราย ขึ้น อยากจะไปกับเขาด้วย แต่หาเพื่อนไปไม่ได้ เพราะพวกเขาขยาดที่จะไปเที่ยวในระหว่างตรุษจีน หรือที่คนจีนแผ่นดินใหญ่เรียกว่า “ซุ่นเจี๋ย” แปลว่า เทศกาลแห่งฤดูใบไม้ผลิ เลยตัดสินใจไปคนเดียว ทัวร์ที่เขาจัดใช้เวลาห้าหกวัน มีคนจีนประเภทเถ้าแก่เนี๊ยะ จากแถวถนนเสือป่าร่วมไปเที่ยวกันหลายครอบครัว
เมื่อได้ซักไซ้ถามชื่อจนได้ความว่าหญิงไทยคนเดียวผู้นี้ เป็นเลขาฯใหญ่ของประธาน และกรรมการชาวสก็อตของบริษัทล็อกซ์เล่ย์ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่บนถนนเสือป่า พวกเขาก็ต้อนรับขับสู้เป็นอันดี เชื้อเชิญให้นั่งร่วมโต๊ะอาหารและเอาอกเอาใจ
มีอาหมวยสาวนางหนึ่งในกลุ่มลักษณะการพูดจาบอกให้รู้ว่า น่าจะเป็นคนที่มีการศึกษาดีพอสมควร ถามว่า “ทำไมมาคนเดียวล่ะคะ” ตอบเขาไปว่า “หาคนมาเป็นเพื่อนไม่ได้” เขาทำหน้าตาแบบสงสารเต็มที่ แล้วพูดอย่างเห็นอกเห็นใจว่า “แหม คุณคงจะเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบสินะคะ”
คิดว่าคนพูดคงจะไม่มีเจตนาทำให้คนฟังสะอึก แต่คงจะไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำเปรียบเทียบในภาษาไทยมากกว่า
แม้กาลเวลาจะล่วงเลยมาเนิ่นนานจากวันที่เป็นสาวเอ๊าะจนกลายเป็นสาวแรกแย้ม “ฝาโลง” แล้ว คำพูดของอาหมวยก็ยังคงอยู่ในความจำ โดยเนื้อแท้แล้วเขาไม่ได้พูดผิดความจริงไปเลย ใครบ้างอยากจะเป็นคนหัวเดียวกระเทียบลีบ ไม่มีเพื่อนไม่มีพ้อง
มนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ (โลก) ที่ขี้เหงา ไม่ชอบอยู่ตามลำพัง มักจะชอบอยู่ร่วมกับเป็นกลุ่มเป็นก้อน จะไปไหนก็แห่กันไปเป็นโขยง ไปอยู่แห่งหนตำบลใดก็มักจะหาเพื่อนถูกใจมาทำกิจกรรมร่วมกัน คนอังกฤษเรียกว่า “Frnding comfort in number”
ใครที่เคยไปอยู่เมืองนอกเมืองนาจะเข้าใจความต้องการอันนี้ได้ดี คนชาติใดก็ตาม เมื่อจำเป็นต้องไปอยู่ต่างประเทศ ต่างก็มักจะหาเพื่อนร่วมชาติเอาไว้คุยด้วยแก้เหงา ถึงแม้บางครั้งเพื่อนร่วมชาติที่คบหาสมาคมด้วยนั้น จะไม่ใช่คนที่จะถูกอกถูกใจร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม มีน้อยคนมักที่จะแยกตนเองออกไปสมาคมกับคนชาติอื่น ยกเว้นคนที่เข้มแข็งจริงๆ และรู้ภาษาสากลอย่างแตกฉาน หาไม่แล้วมักจะทนความเปล่าเปลี่ยวไม่ค่อยจะได้ จะต้องกลับคืนมาสู่กลุ่มที่ตนเองคุ้นเคยด้วยภาษา ประเพณี และวัฒนธรรม
เพราะฉะนั้นจึงมีคนต่างชาติไม่กี่คน ที่เข้าใจวัฒนธรรมของประเทศที่ตนเองอาศัยอยู่อย่างลึกซึ้ง จะเป็นกี่เดือนกี่ปีก็ตาม ด้วยเหตุนี้เจ้าของประเทศจึงมักจะค่อนขอดเอาว่า พวกเขาสร้าง “เก็ตโต” (Ghetto) ขังตนเอง แล้วไปโทษเจ้าของประเทศ ว่าไม่ยอมรับและเข้าใจประเพณีและวัฒนธรรมของคนที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศของตน
เนื่องด้วยเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน ประกอบกับเป็นเมืองท่าที่สำคัญ สถานกงสุลที่ตั้งอยู่ในเมืองนี้ จึงถือได้ว่าเป็นกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้มีความสำคัญ จนเกือบหรือเกือบเท่ากับสถานทูตที่กรุงปักกิ่งนั่นเทียว เมื่อเปรียบกับชาวเมืองอื่นๆในจีนแล้ว ชาวเซี่ยงไฮ้โดยทั่วไปจัดได้ว่ามีความเป็นอยู่ค่อนข้างดีกว่าเพื่อนร่วมชาติในเมืองอื่นๆ
พอมาอยู่เซี่ยงไฮ้ได้สองสามวัน เราก็ไปรายงานตัวกับสถานกงสุลสวิส ที่มีสำนักงานตั้งอยู่ติดๆกับคอนโดรีเจนท์ทาวเวอร์ที่เราอาศัยอยู่ ส่วนสถานกงสุลของไทยนั้น เพิ่งจะมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับท่านกงสุลและภริยาเมื่อไม่นานมานี่เอง ครอบครัวท่านกงสุล เป็นครอบครัวที่น่ารักมากครอบครัวหนึ่ง โดยเฉพาะภริยาท่านกงสุลเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน และไม่เย่อหยิ่งเลย
ส่วน ดร.เลนซ์ ท่านกงสุลสวิสก็เป็นผู้ที่มีอัธยาศัยดี แถมยังพูดภาษาจีนกลางได้คล่องแคล่ว ทำให้พวกเราภูมิใจมาก มาดาของท่านเป็นคนจีนแต่เคยไปอยู่ประเทศสวิส จึงพูดภาษาเยอรมันได้ดีไม่แพ้กับที่ท่านกงสุลพูดภาษาจีน
ทางกงสุลบอกว่ามีคนสวิสอาศัยและทำงานอยู่ในเซี่ยงไฮ้ถึงร้อยหกสิบคนรวมทั้งครอบครัว พวกเขากำลังดำเนินการจัดตั้งสมาคมชาวสวิสแห่งนครเซี่ยงไฮ้ขึ้น เพื่อให้ชาวสวิสได้มีโอกาสพบปะสังสรรค์กัน
ในอาทิตย์ต่อมาก็ได้รับเชิญให้ไปร่วมประชุมใหญ่และรับประทานอาหารเย็นร่วมกันกับชาวสวิสคนอื่นๆที่โรงแรมเจซีแมนดาริน มีชาวสวิสมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง เราจึงกลายเป็นสมาชิกผู้บุกเบิกไปโดยปริยาย (Founding Members)
ในเย็นวันนั้นจึงได้มีโอกาสทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมชาติหลายคนบางคนเคยรู้จักกันมาก่อนแล้ว เพราะกิจกรรมที่เราเกี่ยวข้องอยู่ต้องติดต่อกับนานาชาติ วนไปเวียนมาก็มาพบคนเก่าๆอีกจนได้ การได้พบกันอีกในวันนั้นจึงเป็นการเสริมสร้างสัมพันธไมตรีให้กระชับยิ่งขึ้นไปอีก เพราะต่างก็มาอยู่ในที่แห่งเดียวกัน มีประสบการณ์ร่วมกัน หรือนัยหนึ่งร่วมชะตากรรมเดียวกันนั่นเอง
หลังจากการประชุมวันนั้นแล้วทางสมาคมก็ได้จัดงานต่างๆขึ้นอีกหลายครั้ง เพื่อช่วยให้ชาวสวิส โดยเฉพาะผู้หญิงให้คลายความคิดถึงบ้าน บางครั้งก็มีการจัดดนตรีดุริยางค์ในสวนในระหว่างฤดูใบไม้ผลิ พอถึงเทศกาลอีสเตอร์ก็จัดให้มีการกินอาหารกลางวันร่วมกัน มีกีฬาและการเล่นต่างๆเป็นที่สนุกสนานครื้นเครง
พอถึงวันที่ 1 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันชาติสวิส ทางสมาคมก็จัดให้มีการเลี้ยงดินเนอร์แบบโอเพ่นแอร์ จัดให้มีการเป่าอัลพอร์น แตรยาวของสวิสมีการร้องโยเดิล ฯลฯ โดยจัดส่งตรงมาจากสวิส การตกแต่งบริเวณจัดทำเป็นสีแดง-ขาว ซึ่งเป็นสีธงของสวิส
เคยเล่าให้ฟังแล้ว อยู่ประเทศสวิสไม่ค่อยเคยได้ยินเพลงชาติสวิสแต่พอมาอยู่เซี่ยงไฮ ชาวสวิสคนใดที่เคยรำคาญบทเพลงชาติของตน ก็ได้ยืนขึ้นร้องโดยถ้วนหน้า
ส่วนพวกหญิงชาวสวิสพยายามจัดให้มีการกินอาหารร่วมกันเดือนละครั้งตามสถานที่ต่างๆ บางครั้งจัดให้มีการไปเที่ยวตามสถานที่สำคัญๆเป็นการเปิดหูเปิดตา เมื่อไม่นานมานี้ภริยาของท่านกงสุลต่างก็จัดบาซาร์การกุศลขึ้น รายได้ทั้งหมดเอาไปบริจาคเด็กๆที่ยากไร้ เพื่อให้มีการศึกษาและชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ฉันเองก็อาสาไปช่วยขายของด้วย ในวันนั้นเองจึงมีโอกาสได้พบกับมาดาของท่านกงสุลไทยที่มาเปิดร้านร่วมด้วย
การที่ต้องมีการจัดบาซาร์การกุศลขึ้นนั้นมีสาเหตึที่ใหญ่อยู่หนึ่งประการ คือ ความไม่เสมอภาคกันเองสังคมจีนในปัจจุบัน ที่เริ่มจะกลายเป็นระบบนายทุน ดังเช่นประเทศในแถบตะวันตกที่ “เจริญ” กว่าด้วยวัตถุ
เมื่อตอนที่เราไปอยู่เซี่ยงไฮ้ใหม่ๆสังเกตว่าในตำบลหงเฉา (Homg Qiao) ที่เราอาศัยอยู่ไม่มีคนจรจัดหรือขอทานให้เห็นเลย เพราะได้ชื่อว่าเป็นแถบที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในนครเซี่ยงไฮ้ มีคนต่างชาติโดยเฉพาะชาวสวิสและชาวอเมริกันอาศัยอยู่มาก
แต่สิบเอ็ดเดือนให้หลัง หงเฉาได้กลายเป็นแหล่งที่มีคนจรจัดและขอทานมาป้วนเปี้ยนอยู่เป็นจำนวนมากในตอนกลางคืน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีตำรวจคอยรักษาการณ์ พวกนี้จึงถือโอกาสสมารบกวนคนต่างชาติกันเนืองๆ บางครั้งไม่เพียงแต่จะยื่นมือมาขอเท่านั้น แต่ถึงกับดึงมือดึงไม้ สร้างความรำคาญให้ชาวต่างชาติที่สัญจรไปมาในละแวกนั้น
ในสายตาของเขา “ไหวกั๋วเหยิน” เป็นเศรษฐีมีเงินใช้สอยฟุ่มเฟือย ไปช็อปปิ้งกันไม่ได้หยุดได้หย่อน น่าจะมีสตางค์สำหรับเจือจานพวกเขาบ้าง
คนจีนเล่าให้ฟังว่า ในสมัยก่อนที่ท่านตึ้งเฉี่ยวผิงจะเปิดประตูให้คนต่างชาติเข้ามาทำการค้าขายกับจีนนั้นประเทศเขาหาคนจรจัดหรือคนขอทานทำยายาก เพราะสังคมแบบคอมมิวนิสต์ของจีนจัดการให้แต่ละคนมีฐานะเท่าเทียมกันไม่ว่าจะมีอาชีพอะไรไม่มีใครรวยใครจน ช่างเป็นสังคมที่วิเศษโดยแท้
ในสมัยท่านเหมา การศึกษาในระดับขั้นอุดมฯจำเป็นต้องหยุดชะงักเพราะมหาวิทยาลัยทุกแห่งถูกปิดหมดถึงสิบปี พวกปัญญาชนถูกส่งให้ไปช่วยชาวนาทำกสิกรรม ตำรับตำราโดนเผาไปมากมาย ผลในปัจจุบันก็คือ ช่องว่างระดับความคิดของชาวจีนที่มีอายุตั้งแต่สี่สิบปีขึ้นไป กับชาวจีนที่มีอายุในราวสามสิบลงมาจึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่คนอายุสี่สิบขึ้นไปยังมีความรู้สึกที่ตั้งอยู่กับความหวาดกลัวฝังอยู่ในจิตใจ ชาวจีนที่มีอายุต่ำลงมาน้อยคนนักที่จะมีความกลัวที่จะสู้กับชีวิต เพราะพวกเขาไม่เคยต้องเผชิญกับการปฏิวัติที่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ได้เคยประสบมา
แม้แต่โชเฟอร์ของเราเองซึ่งมีอายุสี่สิบสาม ยังรู้สึกไม่พอใจเมื่อพยายามจะอธิบายให้เขาฟังถึงข้อไม่ดีบางอย่างของระบบคอมมิวนิสต์ ทั้งๆที่เขาเคยบอกว่าเขาบูชาคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายเป็นที่สุด
เขาบอกว่าระบบนายทุนทำให้มีความเหลื่อมล้ำในสังคม ก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน จึงบอกเขาไปว่า นี้แหละความไม่ดีของระบบนายทุน ใครขยันทำงานมากและโชคดีก็ประสบความสำเร็จร่ำรวย ใครขี้เกียจทำงานและโชคร้ายก็จะก้าวไปไม่ถึงดาวที่ฝันไว้ ตั้งแต่วันนั้นมาก็ไม่ได้คุยกับเขาถึงเรื่องนี้อีก
คุณผู้อ่านคงจะสงสัยว่ามีแต่ชาวสวิสเท่านั้นหรือที่มีสมาคม ชาติอื่นๆก็มีสมาคมของเขาค่ะ แต่ที่เป็นแกนกลางของสมาคมทั้งหมดเป็นสมาคมชาวต่างชาติของนครเซี่ยงไฮ้ เรียกในภาษาอังกฤษว่า “Shanghai Expatriates Association” หรือมีชื่อย่อว่า “SEA”
สมาคมนี้ไม่จำกัดเชื้อชาติ ใครก็เข้าเป็นสมาชิกได้ นอกจากมีกิจกรรมต่างๆอยู่บ่อยๆแล้ว ยังมีหนังสือของสมาคมที่ออกเป็นรายเดือนเป็นภาษาอังกฤษอีกด้วยบรรณาธิการเป็นชาวอเมริกัน แทรี่ สวอนสัน ได้นัดพบฉันในระหว่างอาหารกลางวันของวันหนึ่งที่ “ฮาร์ดร็อคคเฟ่” ขอให้เขียนบทความด้านธุรกิจต่างวัฒนธรรมภายใต้คอลัมน์ “Another View” (มองต่างมุม) ลงในหนังสือเดือนละครั้ง
ตามวิสัยปุถุชนซึ่งยังมีกิเลสหนาแน่นจึงรู้สึกภูมิใจนิดๆที่เขามาขอให้ฉันเขียน ทั้งๆที่เซี่ยงไฮ้มีสมาคมชาวอเมริกันออกใหญ่โต มีคนอังกฤษและคนออสเตรเลียอยู่กันมากมายแม้ว่าทุกคนจะทำงานกันแบบอาสาสมัครไม่มีใครได้ค่าแรงแต่อย่างใด ทุกคนที่มีหน้าที่ต่างก็เต็มใจช่วยเหลือกันอย่างแข็งขัน
ส่วนหนังสือที่ทำนั้นก็เป็นหนังสือที่ทำอย่างมีคุณภาพ ใช้กระดาษมันแบบแพรว สำหรับรูปหน้าปกก็ได้อาศัยฝีมือช่างภาพสมัครเล่นถ่ายแล้วเอามาลงเป็นรูปภาพภูมิประเทศของเมืองจีนหรือประเพณีจีนเป็นต้น แต่ละคนที่เป็นอาสาสมัคร ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายจัดงานเลี้ยงหรือประชุม หรือการท่องเที่ยวต่างก็ทำหน้าที่กันอย่างสุดฝีมือ
น่าเสียดายที่ชาวต่างชาติฝรั่งส่วนใหญ่อยู่กันอย่างมากเพียงสองปีเท่านั้น เมื่อหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายมาเสร็จสิ้นไป ก็ต้องออกจากเซี่ยงไฮ้ไปอยู่ประเทศอื่นหรือกลับบ้านเมืองของตนเอง คนอื่นก็หมุนเวียนกันมาทำหน้าที่แทน
นโยบายของบริษัทส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้คนของเขาอยู่นานเกินกว่าสองปี เพราะโสหุ้ยในการจ้างฝรั่งโดยเฉพาะชาวอเมริกันและชาวสวิสต้องลงทุนกันอย่างมหาศาล เนื่องจากเซี่ยงไฮ้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงเป็นที่สี่รองลงมาจากโตเกียว ฮ่องกงและปักกิ่ง
การที่ค่าครองชีพแพงสำหรับชาวต่างประเทศก็เนื่องมาจากค่าเช่าที่พักอาศัยในแหล่งที่ดีนั้นสูงมาก ถ้าบอกเงินค่าเช่าเป็นรายเดือนก็เกรงว่าจะเหลือเชื่อ จึงขอยกเว้นไม่กล่าวถึงในที่นี้
หญิงชาวอเมริกันหลายคนที่เล่นไพ่คาแนสเตอร์ที่บ้านของเมเบิ้ลทุกวันจันทร์ที่เคยเล่าให้ฟังแล้ว เป็นตัวตั้งตัวตีจัดให้มีการเลี้ยงแบบพ็อตลัค (Pot Luck) กันเดือนละครั้งเพื่อให้พวกสามีได้มีโอกาสรู้จักกันว่าใครเป็นใคร
การเลี้ยงก็จัดสลับหมุนเวียนกันไปตามบ้านต่างๆ แต่ละคนก็จัดอาหารกันคนละอย่างแล้วมารวมกันเจ้าบ้านเพียงแต่จัดสถานที่และจานชามเอาไว้ให้เท่านั้น หรือแม้แต่เครื่องดื่มแต่ละคนก็เอามากันเอง จะได้ไม่ต้องเป็นภาระของเจ้าบ้านแต่เพียงผู้เดียว
เมื่อตอนที่มีงานเลี้ยงฉลองเทศกาลขอบคุณพระเจ้า ปรากฏว่ามีอาหารเหลือเฟือ ฉันทำสลัดมันฝรั่งไปชามโคมมหึมา ยกเองไม่ไหว ต้องให้โชเฟ่อร์ช่วยขน เพราะวอลเตอร์บังเอิญต้องปุรกิจต่างจังหวัด ไปร่วมงานด้วยไม่ได้
บางครั้งเพื่อนบางคนก็จัดงานแสดงสินค้าที่บ้านของตนเอง โดยเชิญให้เจ้าหน้าที่ร้านขายของเอาของที่ตนเองต้องการมาแสดงและเชิญให้เพื่อนฝูงและคนรู้จักมาชมและซื้อกัน ส่วนใหญ่มักจะเป็นของประดับเช่น พวกมุก น้ำจืด หินสวย หรือไม่ก็พวกผ้าปูโต๊ะปักสวยๆ เจ้าของบ้านมักจะจัดอาหารเบาๆ เช่น น้ำชา กาแฟ เครื่องดื่มพวกโคลา ขนมเค้กหรือบิสกิตเอาไว้ให้กินกัน
ส่วนฉันเองนั้นเป็นประเภทนกมีหู หนูมีปีก ตอนเช้าๆวันจันทร์ถึงวันศุกร์ หากไม่มีธุระอะไรก็จะลงไปที่สวนสาธารณะเพื่อไปรำ “มู่หลานฉวน” กับคนจีน ได้เรียนรู้วัฒนธรรมของพวกเขา และได้ฝึกภาษาไปด้วยในตัว พอตกตอนกลางวันก็มักจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนชาวอเมริกัน พอถึงตอนเย็นหากไม่มีงานเลี้ยงที่ไหนก็จะอยู่บ้านอ่านหนังสือ
ส่วนวันเสาร์อาทิตย์นั้น พวกบ้ากอล์ฟจะไปชุมนุมกันที่สนามกอล์ฟสนามกอล์ฟที่เราเป็นสมาชิกอยู่มีเจ้าของเป็นสิงคโปร์ จึงมีสมาชิกขางสิงคโปร์เสียเป็นส่วนใหญ่ นอกนั้นก็มีชาวเกาหลีและไต้หวันบ้างประปรายฝรั่งไม่ค่อยจะมี เพราะส่วนใหญ่ไปมั่วสุมกันอยู่ที่สนามอีกแห่งหนึ่ง ตกลงเสาร์อาทิตย์เราจึงเล่นกอล์ฟกับชาวสิงคโปร์ที่ได้กลายเป็นเพื่อนกันสองสามครอบครัว
ชาวมาเลเซียก็มีสมาคมของตนเอง บังเอิญฉันได้พบกับภรรยาของประธานสมาคมในสนามกอล์ฟ เขาจึงได้ชักชวนให้เราไปงานรื่นเริงของเขาในเย็นวันหนึ่ง และได้ถือโอกาสยกให้เราเป็น “สมาชิกบุญธรรม” ของสมาคมนั้นด้วย ตั้งแต่นั้นมาเมื่อมีงานเขาก็เชิญเราไปร่วมด้วยทุกครั้ง ฉันจึงได้พูดอย่างไรเล่าคะว่าฉันเป็นนกมีหู หนูมีปีก
น่าเสียดายที่สงคมไทยในเซี่ยงไฮ้ยังมีคนไทยกี่คน จึงยังไม่มีสมาคมไทยอย่างชาติอื่นๆ ทั้งๆที่บริษัทซีพีในเครือเจริญโภคภัณฑ์ก็ได้ไปเปิดซูเปอร์มาร์เก็ตออกใหญ่โตที่นั่น ให้ชื่อว่า “โลตัส” ตั้งอยู่ในตำบลปู๋ต๊อง ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำหวงโป และสายการบินไทยก็มีสำนักงานอยู่ที่เซี่ยงไฮ้อีกด้วย
แต่คิดว่าในระหว่างคนไทยก็คงจะมีการติดต่อไปมาหาสู่กันโดยที่ฉันเองไม่รู้ก็เป็นได้ ในเซี่ยงไฮ้นอกจากคุณโสภา ภริยาท่านกงสุล และคนไทยอีกหนึ่งคนแล้ว ฉันก็ไม่รู้จักคนไทยคนอื่น ยกเว้นผู้จัดการสายการบินไทยแต่นั่นเป็นการรู้จักแบบลูกค้าของสายการบินมากกว่า เคยเข้าไปเยี่ยมเยียนทักทายเจ้าหน้าที่ในกงสุลไทยครั้งหนึ่งก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี
เวลาไปโฮมลิฟที่สวิส มักจะมีเพื่อนฝูงถามอยู่เสมอๆว่า อยู่เซี่ยงไฮ้เป็นอย่างไรบ้าง ลำบากมากไหม สำหรับการมาอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ บริษัทมีเงินค่ายังชีพในประเทศ “ทุรกันดาร” (Hardship Allowance) ให้เราทุกเดือน ฉันก็ได้แต่ตอบว่า อยู่เซี่ยงไฮ้สนุกมาก มีเรื่องให้ได้ตื่นเต้นทุกวัน แม้แต่จะข้ามถนนแต่ละครั้งก็เหมือนกับการผจญภัย
อยู่ประเทศสวิสนานจนเขียนเรื่องสวิสลงใน “แพรว” ให้ได้อ่านกันจนแทบจะหมดทุกแง่ทุกมุมแล้ว จึงคิดว่าไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นอีกต่อไป
“สวิส” แม้จะเป็นบ้านอันเป็นที่รัก แต่ก็เป็นบ้านที่สมบูรณ์แบบเกินไปสะอาดเกินไป มีระเบียบวินัยเกินไปทำให้เครียด สู้อยู่ประเทศ “ทุรกันดาร” แบบนี้ไม่ได้ ทำให้ชีวิตมีรสชาติไม่น่าเบื่อเลย
ถ้าคุณผู้อ่านใดเคยคิดสงสารฉันก็เลิกคิดได้เลยค่ะ คอยติดตามอ่านเรื่องสนุกๆของฉันในเมืองจีนดีกว่า แล้วพบกันใหม่นะคะ