เว้ากันซื่อๆ

ประเทศสวิสไม่มีวัตถุดิบธรรมชาติเอาเสียเลย เนื้อที่เศษส่วนสามของประเทศปกคลุมไปด้วยป่า ทะเลสาบ และหิน จึงไม่สามารถจะผลิตอาหารเพื่อเลี้ยงตนเองให้เพียงพอแก่ความต้องการของประชาชนได้ จำเป็นต้องอาศัยซื้อสินค้าวัตถุดิบมาจากต่างประเทศ เพื่อนำมาผลิตเป็นสินค้าคุณภาพส่งไปขายยังต่างประเทศอีกต่อหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ประเทศสวิสจึงจำเป็นต้องเปิดประตูบ้านของตนเอง ออกไปสู่โลกภายนอก ไม่สามารถจะปิดประตูใส่กุญแจอยู่เพียงลำพัง

เป็น ที่น่าสังเกตว่า แม้จะมีที่เพียงนิดเดียวสำหรับการเกษตร และประเทศมีปัญหามากในด้านนี่ แต่ว่าประเทศสวิสก็ยังเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในเรื่องอุตสาหกรรมการส่งอาหารสำหรับรูปออกไปขายยังต่างประเทศ นมเป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งซึ่งประเทศสวิสมีอยู่อย่างเหลือเฟือ ประเทศจึงได้มีสินค้าประเภทนมเนยอยู่มากมาย เช่น นมข้น (ตราหมี) ช็อกโกแลต และเครื่องดื่มเช่นโอวัลติน (คนสวิสเรียกว่า “โอโวมัลติน” เวลาจะสั่งเครื่องดื่มประเภทนี้บอกคนขายว่าขอ “โอโว” ที่หนึ่งเขาก็เข้าใจ) และนมของเด็กทารก เป็นต้น ก็น่าทึ่งสำหรับประเทศเล็กๆ ที่ต้องสั่งสินค้าบริโภคมาจากต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่

ประเทศสวิสอุดมสมบูรณ์ด้วยนม วัวแต่ละตัวที่เห็นยืนเคี้ยวเอื้องอยู่ตามทุ่งหญ้านั้นอ้วนท้วนแข็งแรง เพราะได้กินหญ้าจากทุ่งแอลป์ในฤดูร้อน และในฤดูหนาวก็จะได้กินฟางที่ชาวนาตากแห้งเก็บเอาไว้ในโรงนา ซึ่งก็เป็นฟางที่ได้มาจากหญ้าชนิดเดียวกันนั่นเอง ใครที่เคยอยู่ประเทศหนาวนานๆ จะเข้าใจสุภาษิตที่ว่า “ตากหญ้าเมื่อมีแดด” ได้เป็นอย่างดีเพราะในประเทศหนาว อากาศเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพราะฉะนั้นในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิและระหว่างฤดูร้อน เมื่อยามที่พระอาทิตย์ทอแสงแจ่มใส พวกชาวนาจะกุลีกุจอเอาเครื่องตัดหญ้าออกมาตัดหญ้าในทุ่ง คุณผู้อ่านที่เคยไปเที่ยวยุโรปในช่วงนี้อาจจะเห็นชาวนาทั้งหญิงและชาย หรือแม้แต่เด็กๆยืนกันอยู่กลางทุ่งหญ้าในยามที่อากาศดีในมือถือคราดคอยเกลี่ยหญ้าที่ตัดเอาไว้แล้วมากองรวมๆกันทำเป็นรูปทรงต่างๆ เมื่อแห้งดีแล้วก็จะขนไปเก็บไว้ในโรงนาสำหรับใช้เป็นอาหารของวันในฤดูหนาว

คนสวิสแม้จะเคร่งครัดอย่างไรในเรื่องการห้ามทำงานในวันอาทิตย์ แต่สำหรับชาวนาแล้วได้รับข้อยกเว้นเสมอจนมีหลายคนประชดว่าชาวนาประเทศนี้ได้รับอภิสิทธิ์มากยิ่งกว่าคนในสาขาอาชีพอื่นๆ ไม่ต้องดูอื่นไกล ลองดูเวลาที่ชาวนาให้ “ปุ๋ย” ในไร่ของตนเองก็แล้วกัน เขาจะใช้เครื่องสูบปั๊มเอาขี้วัวรวมทั้งฉี่และสิ่งปฏิกูลทั้งหลายของวันที่เก็บรวบรวมสะสมไว้ในแท็งก์ใหญ่โตดินขึ้นมาฉีดไปทั่วทุ่งหญ้า คนสวิสเรียก “ปุ๋ย” นี้ว่า “กู๋ลเล่” (Guelle) บางทีในปุ๋ยก็รวมเอาอุจจาระและปัสสาวะของเจ้าของวัวเขาไว้ด้วย เพราะฉะนั้นคุณผู้อ่านคงจะเขาใจแล้วนะคะว่า ทำไมทุ่งหญ้าแอลไพน์ในประเทศสวิสจึงเขียวชอุ่มงดงามอย่างที่เห็น ในขณะที่พวกเขาเที่ยวได้สเปรย์ปุ๋ยกลับไปกลับมานั้นกลิ่นอันเหม็นหึ่งจะขจรขจายไปทั่วเป็นเวลานานหลายวัน ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ เมื่อสเปรย์มากๆเข้า ปุ๋ยนี้ก็จะซึมเข้าไปในดิน ทำให้น้ำใต้ดินสกปรกได้ แต่ก็ไม่เห็นมีใครเอาผิดอะไรกับพวกเขา ทั้งๆที่มีพวกประกอบการกสิกรรมอยู่เพียง 5 เปอร์เซ็นต์ของประเทศเท่านั้น

นอกจากนั้นแล้ว พวกเขายังได้รับการช่วยเหลือจากรัฐอย่างเต็มที่ เงินอุดหนุนช่วยเหลือก็มาจากภาษีของพวกเรานั่นเองแหละค่ะ เพราะเขาให้ความสำคัญกับชาวไร่ชาวนามากทีเดียว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ทำให้กระเป๋าเงินของชาติตุงขึ้น แต่พวกเขาก็เปรียบประหนึ่ง “คนสวน” ที่รักษาทุ่งหญ้าและภูมิประเทศสวิสให้สวยงามมีระเบียบดังที่เป็นอยู่แต่พวกเขาจะโกรธมากถ้ามีใครไปพูดว่าพวกเขาเป็นแต่เพียง “คนสวน” ของประเทศ

ในขณะที่ ประเทศให้ความช่วยเหลือด้านกสิกรรมมากมาย ทางด้านอุตสาหกรรมก็มักจะน้อยใจว่าพวกเขาทำงานกันแทบล้มประดาตาย แต่มักจะไม่ค่อยได้รับการเหลียวแลจากรัฐเท่าไรนัก จะล้มคว่ำคะมำหงายก็ต้องเอาตัวรอดเอง ทั้งๆที่พวกเขาเป็นคนหาเงินเข้าเก๊ะเป็นส่วนใหญ่

แม้จะอยู่ประเทศนี้มาเนิ่นนานแล้ว ฉันก็ไม่คุ้นกับกลิ่นเหม็นน่ารังเกียจของปุ๋ยประเภทนี้จำได้ว่าเมื่อตอนไปพักที่ฟาร์มของคุณแม่วอลเตอร์ที่เบิร์นในสมัยที่เรายังไปๆมาๆ ท่านมักจะขอร้องชาวนาที่อยู่ใกล้เคียงว่า ถ้าเป็นไปได้ขออย่ามาสเปรย์ทุ่งหญ้าในขณะที่ฉันอยู่บ้านเลยเพราะฉันทนกลิ่นของมันไม่ไหว ซึ่งส่วนมากพวกเขาก็น่ารัก พยายามทำตามคำขอร้อง แต่บางครั้งก็ช่วยไม่ได้ จำเป็นต้องมาสเปรย์ในระยะนั้น ฉันต้องหนีเข้าห้องปิดประตูหน้าต่างจนหมด แต่ก็ยังไม่วายได้กลิ่นอุบาทว์นี้

มีบางคนปลอบว่า กลิ่นของมันไม่ร้ายเท่ากับกลิ่นเหม็นของไอเสียจากท่อรถยนต์หรอกน่า ได้กลิ่นนานๆเข้ามันก็ “หอม” ไปเองแหละ วอลเตอร์ไม่เห็นเคยบ่นเลย จนแล้วจนรอดฉันก็ยังทำใจไม่ได้ แม้แต่กลิ่นจากท่อไอเสียของรถก็ทำให้ฉันพะอืดพะอม พานจะเป็นลมเอาถ้าได้กลิ่นมากๆ จึงไม่ค่อยอยากจะขับรถเข้าอุโมงค์เป็นเวลานานๆ แม้ว่าจะมีท่อระบายอากาศอย่างยอดเยี่ยมเพียงไร หากว่าฉันเกิดอยากจะมีสนามในบ้านที่เขียวสวยแบบ “อิงลิชลอว์น” (English Lawn) ขึ้นมาบ้าง โดยใช้เครื่องสูบปั๊มเอา “ของเสีย” ของวอลเตอร์และของฉันเองออกมาสเปรย์ใส่สนามแล้วละก็ เห็นทีจะเดือดร้อนขนาดหนักเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่พิศมัยฉันนักหนาคงจะเอาอิฐขว้างหลังคาบ้านพังเป็นแน่หรือไม่อีกทีก็โทรศัพท์เรียกตำรวจให้มาตักเตือนฉันให้หยุดการกระทำอันน่าขยะแขยงนี้เสียที นี่แหละคืออภิสิทธิ์ที่ฉันพูดถึงข้างต้น

ระหว่างที่ทำฟาง ชาวนาซึ่งเป็นผู้ชายจะถอดเสื้อเหลือแต่กางเกง ชาวนาผู้หญิงบางคนถึงกับเปลื้องเสื้อผ้า นุ่งแต่เพียงชุดบิกินี่กันก็มี นับว่าเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับประเทศสวิส เพื่อนบ้านของฉันเองเวลาหน้าร้อนอากาศดีก็จะใส่บิกินี่ออกมาทำสวนเหมือนกันส่วนคุณผู้ชายจะนุ่งกางเกงอาบน้ำตัวจิ๋วอะไรที่ทอดตัวแอบซ่อนอยู่ทางซ้ายหรือทางขวา ก็ได้ประจักษ์กันในคราวนี้แหละ แต่ก็ไม่มีใครเห็นเป็นเรื่องแปลก

เมืองลูเซิร์น มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับฤดูร้อน เรียกกันว่า “ลิโด้” ซึ่งมีหาดว่ายน้ำและสถานที่ที่จัดไว้สำหรับให้ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวจากหลายชาติในยุโรปมาตั้งแคมป์พักเรียกว่า “ลิโด้แคมปิง” โดยจัดให้มีสาธารณูปโภคครบถ้วน หาดว่ายน้ำลิโด้ล้อมรอบไปด้วยกำแพงสีเหลืองส่วนบริเวณที่ใช้เป็นที่ตั้งแคมป์นั้นอยู่ตรงกันข้าม “ลิโด้” มีอาณาเขตติดกับพิพิธภัณฑ์คมนาคมของเมืองลูเซิร์นในยามที่อากาศแจ่มใสจะแลเห็นเทือกเขาแอลป์ส่วนกลางของประเทศได้อย่างสวยงามชัดเจน นอกจากนี้แล้วก็ยังมีคลับเทนนิส เมื่อสามสี่ปีที่แล้วมีการจัดการแข่งขันเทนนิสระดับ “โลก ” ขึ้นเป็นการ “อุ่นเครื่อง” ก่อนที่จะไปแข่งขันแกรนด์สแลมกันที่กรุงปารีส ในจำนวนผู้ที่มาแข่งขันมี “จิม คารีเออร์” นักเทนนิสชาวอเมริกันที่เคยเป็นมือวางอันดับหนึ่งในระยะสั้นๆอยู่พักหนึ่งอยู่ด้วย ฉันเองยังได้มีโอกาสไปดูการแข่งขันกับเขาด้วยเหมือนกัน

“จิม” ไม่สู้จะพอใจกับคอร์ทเทนนิสของคลับลิโด้เท่าไรนัก ฉันเองก็รู้สึกเห็นใจ เพราะเขามีรูปร่างสูงใหญ่ เวลาลูกเทนนิสกระดอนไปที่เบสไสน์ก็ไม่มีที่ให้เขาได้เคลื่อนไหวตัวได้เพียงพอ ทำให้เป็นอุปสรรคในการตีลูกอย่างมาก ในวันสุดท้ายของการแข่งขัน นักข่าวถามเขาว่า “ปีหน้าคุณจะกลับมามาแข่งขันอีกไหม” จิมเงยหน้าขึ้นไปดูเทือกเขาแอลป์ที่แสนสวยในวันนั้นแล้วตอบว่า “ครับผมจะกลับมาอีก แต่เพื่อมาเล่นสกี”

ถ้าคุณผู้อ่านมาเที่ยวเมืองลูเซิร์นในระหว่างเดือนพฤษภาคมและเดือนกันยายน บังเอิญได้มีโอกาสไปว่ายน้ำที่ “ลิโด้” จะเห็น “สุภาพสตรี” หลายคนใส่ชุดอาบน้ำมีแต่ท่อนล่างปิดอยู่นิดเดียวส่วนท่อนบนเปลือยเปล่านอนอาบแดดกันเป็นแถว เพราะพวกเขาต้องการให้แสงแดดชโลมไล้ผิดกายให้เป็นสีแทนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เรื่องมะเร็งน่ะหรือ เรื่องเล็ก ขอให้สวยไว้ก่อนเป็นใช้ได้ มีบางคนที่มาแต่เช้าและไปหามุมเงียบๆ เพื่อการนี้ ไม่ได้ทำอย่างประเจิดประเจ้อแต่อย่างใด แต่มีหลายต่อหลายคนที่ไม่แคร์ต่อสายตาของใคร เป็นที่น่าสังเกต ผู้หญิงสาวรูปร่างดีๆสวยๆมักจะไม่ค่อยอยากอวดโฉมของตนเองสักเท่าไหร่ แต่ประเภทเนื้อนมไข่ยานเท้งเต้งแบบนั่งเล่นไพ่ตวัดทีเดียวให้ลูกกินนมได้นี่ซิ มีให้เห็นอยู่เกลื่อนกลาด ร้ายยิ่งไปกว่านั้น บางทีเจ้าหล่อนทำเหมือนกับว่าอยู่คนเดียวให้ห้องหับรโหฐานอย่างไรอย่างนั้น ก้าวจากฝักบัวออกมาอย่างผึ่งผาย ยืดกายเช็ดตัวจนแห้งแล้วค่อยๆ ควักครีมออกมาบรรจงทาไปทั่วร่าง โดยไม่สนใจว่าจะมีใครมองหรือไม่ อันที่จริงก็ไม่มีใครมองหรอกค่ะ เพราะเห็นเป็นเรื่องธรรมดาแต่ฉันคิดว่า ถ้าแม่ผีเสื้อสมุทรเมียคนแรกของพระอภัยมณีผุดจากทะเลสาบลูเซิร์นมาเห็นเข้า คงต้องปิดหน้าด้วยความเขินเป็นแน่แท้

ในห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวตามคลับเทนนิสนี่ก็เหมือนกัน ช่างอุจาดตาเสียจริงๆ เวลาไปตีเทนนิสส่วนใหญ่ฉันมักจะเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวไปเรียบร้อยแล้ว พอเล่นเสร็จ นั่งพักสักครู่ดื่มน้ำดื่มท่าแล้วก็กลับมาอาบน้ำที่บ้านถ้าจำเป็นต้องอาบน้ำและเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวที่คลับ ฉันก็มักจะทำแบบว่องไวสายฟ้าแลบ แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่นี่ไม่ทำเช่นที่ว่านี่หรอกนะคะ แม่เจ้าประคุณเล่นถอดเสื้อผ้ากันซึ่งๆหน้า ไม่ว่าจะมีรูปร่างเป็นนางงามจักรวาลหรือนางยักษ์ขมูขี จะเต่งตึงหรือหย่อนยานก็เซมๆถ้าเป็นคนเดียวก็พอจะกล้ำกลืนอดทนอยู่ร่วมในห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวกับเขาได้ แต่คุณผู้อ่านลองหลับตาวาดภาพดู ถ้าต้องอยู่ในห้องร่วมกับผู้หญิงในชุดทารกแรกเกิดทีเดียวกันถึงสี่ห้าคน แถมยังมีกิจกรรมก้มๆเงยๆหยิบข้าวของเครื่องใช้ออกจากกระเป๋าเสื้อผ้าที่ตั้งอยู่บนพื้นอีกด้วยแล้วละก็ ฉันงี้ไม่รู้จะเอาลูกกะตาไปไว้ที่ไหน ใจที่ชั่วร้ายของฉันก็มักจะมีจินตนาการไปถึงแม่วัวพันธุ์น้ำนมอยู่ซะร่ำไป ต้องรีบหาทางขอตัวออกมาจากห้องโดยเร็วที่สุด อ้างว่าหิวน้ำบ้าง จะต้องไปโทรศัพท์ หรือไม่ก็จะขึ้นไปสั่งน้ำให้ก่อน ใครอยากกินน้ำอะไรก็สั่งมา อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วจะได้ดื่มทันที ไม่ต้องรอนาน

สาบานเลยค่ะว่าไม่ได้กุเรื่องมาอำคุณผู้อ่านหรอกนะคะ บางคนนอกจากจะยืนเป็นชีเปลือยล่อนจ้อนแล้ว บางทียังเท้าประตูห้องคุยกับคนที่ผ่านหน้าห้องไปมาหน้าตาเฉย โอ๊ย มันจะอะไรกันนักหนา ฉันบ้าหรือว่าพวกเขาบ้ากันแน่ฉันคิดว่าฉันเองน่ะแหละบ้า คิดมากไปเอง ในเมื่อคนอื่นส่วนใหญ่ไม่เห็นเขาจะคิดอะไรกันลึกซึ้งแบบฉันสักคน

ไหนๆ คุยถึงเรื่องนี้แล้วก็จะขอคุยต่ออีกหน่อยว่า เมื่อเดือนกรกฎาคมปีนี้มีข่าวในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่าชาวบ้านที่อยู่ทางใต้ของประเทศแถบที่พูดภาษาอิตาเลียน ได้บ่นว่ามีนักท่องเที่ยวทั้งชายและหญิงแห่กันมานอนอาบแดดบนโขดหินในหมู่บ้านใกล้ๆ “เชนโตวาลี่” (Centovalli) ซึ่งอยู่ในประเทศอิตาลีแต่มีเขตแดนดินติดกับสวิส ผู้หญิงชาวบ้านคนหนึ่งถึงกับบ่าว่า “E unavergogna” (ช่างน่าอับอายจริงๆ) พวกเขาไม่อายผีสางเทวดากันบ้างหรืออย่างไรจึงมานอนตัวเปลือยล่อนจ้อนยังกับว่าตนเองยังคงอยู่ในสวนสวรรค์แห่งอีเด็นของอาดัมและอีฟยังไงยังงั้น ถ้าไม่ประเจิดประเจ้อมากเกินไป ชาวบ้านก็พอจะทำใจให้ยอมรับได้ แต่นี่มันเกินไป เขาว่าบางทีบางคนฉวยโอกาสถอดเสื้อผ้าเล่นเป็น “เอ็กซ์บิเชิ่นนิสต์” ไปเสียเลย ฉันได้เห็นรูปที่ถ่ายลงในหนังสือด้วยค่ะ อยากจะให้คุณผู้อ่านดูให้เห็นกับตาเหมือนกัน

อันที่จริงเจ้าแคมป์ “นูดิสท์” ในยุโรป นี่ก็มีมานานนักหนาแล้ว ไม่อยากจะประจานกัน พวกเขาอาจจะนับถือ “ความเป็นธรรมชาติ” มากจริงๆก็ได้ใครจะรู้ นอกจากเจ้าตัวเอง ตราบใดที่ห่างสายตาผู้คนก็ช่างเขาเถอะนะคะถือว่าเป็นเรื่องของ “นานจิตตัง” ก็แล้วกัน ขออย่าไปทำในประเทศที่มีวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกับพวกเขาเข้าเท่านั้น

เมื่อไม่นานมานี้ดูทีวี ได้เห็นแคมป์ “นูดิสท์” ในฝรั่งเศสที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใคร เขาถ่ายให้เห็น “ไดรวิ่งเรนจ์” ที่ซ้อมตีกอล์ฟ มีนักกอล์ฟชีเปลือยหลายคนยืนเรียงเป็นตับตีกอล์ฟกันหน้าตาเฉย มีทั้งนักกอล์ฟหญิงและชาย ดูได้พักเดียวต้องเปลี่ยนช่องไปดูอย่างอื่นเพราะทุเรศเต็มทน คุณผู้อ่านลองวาดภาพดูเอาเองก็แล้วกันนะคะว่า ความสั่นสะเทือนจากการออกแรงตีลูกนั้นจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้างกับสรีระร่างกายของแต่ละคนทั้งหญิงและชาย เล่าให้ฟังอย่างนี้แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าพวกฝรั่งจะประพฤติอย่างนี้กันทุกคนนะคะฝรั่งที่มี “ยางอาย” มีถมเถไป แต่เมื่อฝรั่งหลายคนที่ชอบทำตัวสบายๆแบบนี้ในต่างประเทศจึงได้ถูกเหมารวมกันไปหมด เข้าทำนองสุภาษิตที่ว่า “ปลาอยู่ในข้องเดียวกัน ฯลฯ” ใครที่อยู่เมืองนอกนานๆ คงจะซาบซึ่งกับสุภาษิตนี้บ้างไม่มากก็น้อย

เพื่อนหญิงชาวสวิสคนหนึ่งของฉันที่ซ้อมตีเทนนิสมาด้วยกันทุกอาทิตย์เป็นเวลาสิบกว่าปีมานี่ ก็ไม่ใช่แหม่มสวิสดังที่เล่าให้ฟังข้างต้นหรอกค่ะ เขาเป็นประเภทที่ไม่ค่อย (ยอม) เปลื้องผ้าต่อหน้าธารกำนัลง่ายๆ เหมือนฉันเช่นกันเพราะเรากลัว แหม ก็กลัวจะไม่มีคนมองน่ะสิคะ

เมื่อฉันพาเพื่อนๆ ชาวสวิสสิบคนมาเที่ยวเมืองไทยเมื่อสองสามปีที่แล้วเราไปอยู่กันนานถึงสามอาทิตย์ เพราะฉันต้องการทำให้พวกเขารู้จักประเทศไทยดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ได้ฟังจากฉันและได้ยินข่าวทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์รวมทั้งอ่านหนังสือพิมพ์มาเป็นเวลานานมากแล้ว ฉันบรี๊ฟพวกเขาก่อนมาอย่างละเอียดว่า ถ้ามาเที่ยวเมืองไทยกับฉันขออย่าได้ใส่เสื้อยืด “โนบรา” เป็นอันขาด กางเกงขาสั้นเก็บเอาไว้ใส่ที่ภูเก็ตเวลาเดินอยู่ตามชายหาด ส่วนผู้ชาย ฉันก็ขอร้องไม่ให้นุ่งกางเกงขาสั้นหรือใส่รองเท้าแตะ ก็โปรดอย่าได้ใส่เสื้อกล้ามเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาไปชมวัดวาอาราม ซึ่งพวกเขาก็เชื่อฟังกันเป็นอย่างดี

คุณผู้อ่านคงจะไม่ค่อนว่าฉันหยุมหยิมหรอกนะคะ เพราะแม้แต่ในยุโรปเอง เวลาเข้าไปในโบสถ์เขาก็ไม่นุ่งกางเกงขาสั้นใส่เสื้อกล้ามกันหรอกค่ะ ความเป็น “ผู้ดี” และการรู้จักกาลเทศะ ไม่จำกัดเชื้อชาติศาสนาหรอกนะคะ มันเป็นเหมือนกันทั่วโลก จะต่างกันก็แต่เพียงข้อปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นฝรั่งสะพายเป้แต่โทรม ผมเผ้าหนวดเครารุงรัง ไปที่ไหน จะเป็นอเมริกา ยุโรป หรือเอเชีย ก็มักจะถูกคนมองอย่างไม่ค่อยจะไว้ใจ จะไปโทษเขาได้อย่างไร แม้แต่กางเกงอาบน้ำลายเปรอะที่ขายกันเกลื่อนกลาดตามชายหาด ฉันก็ไม่ยอมให้วอลเตอร์นุ่ง เขาเคยไปซื้อมาใส่ทีหนึ่ง ฉันเก็บเอาไปทิ้งลงถังขยะเรียบร้อย อธิบายให้เขาฟังแล้วเขาก็ไม่ว่ากระไร ก็ฉันเป็น “ภรรยาธิปไตย” นี่คะ

อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว คุณผู้อ่านคงอยากตั้งคำถามเต็มแก่ว่า “แล้วเรื่องนี้ไปเกี่ยวข้องอะไรกับนมเนยและสินค้าอาหารสำเร็จรูปส่งออกของประเทศสวิสด้วยเล่า” เกี่ยวนิดหน่อยด้วยเรื่อง “นม” ไงคะ

แต่เรื่องอื่นนั้นฉันอยากจะ “เว้า” กับคุณผู้อ่านแบบซื่อๆอย่างที่ตั้งชื่อเรื่องไว้ตั้งแต่ตอนต้นอย่างไรเล่าคะ