เมืองลูเซิร์น วันที่ 20 เมษายน 2538 สายที่คิดถึง
พระผู้เป็นเจ้า ใช้เวลาทั้งหมดหกวันเพื่อสร้างโลก สัตว์ พืชและมนุษย์ พอถึงวันที่เจ็ด พระองค์ก็พูดว่า “อั๊วเหนื่อยแล้ว ทำงานไม่ได้หยุดติดต่อกันมาถึงหกวันแล้ว วันที่เจ็ดอั๊วขอพักสักวันเถอะ พวกลื้อคงไม่หาว่าอั๊วขี้เกียจหรอกนะ” ความจริงพระองค์จะพูดอย่างนี้หรือเปล่า ฉันไม่รู้ แต่เดาว่าคงจะเป็นในทำนองนี้แหละ
วันอาทิตย์สำหรับคนในทวีปยุโรปตอนกลางมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศสวิส การทำงานในวันอาทิตย์เป็นสิ่งต้องห้าม ยกเว้นแต่พวกโชเฟ่อร์ขับรถ ขับเรือ เจ้าหน้าที่ตามโรงพยาบาล ฯลฯ ร้านรวงจะปิดหมดเดี๋ยวนี้ยังอนุโลมให้บ้าง เพราะเขาอนุญาตให้ร้านตามสถานีรถไฟเปิดบริการได้ แต่คนส่วนใหญ่ที่ไปซื้อข้าวของกันมักจะเป็นคนต่างชาติที่เข้ามาเป็นลูกจ้างในประเทศนี้เสียมากกว่าจะเป็นชาวสวิสเอง เพราะชาวสวิสส่วนใหญ่มักจะใช้เวลาในวันอาทิตย์สำหรับพักผ่อนหรือทำงานอดิเรกที่ตนชอบ
แม้แต่การตัดหญ้าในสนามของบ้านจนเอง ถ้าเป็นวันอาทิตย์หรือเป็นวันหยุดทางราชการแล้วละก็ จะไม่มีใครฝืนกฎที่ไม่ได้เขียนไว้ออกมาตัดหญ้าในสนามเป็นอันขาด หรือว่าการล้างรถก็เหมือนกัน จะไม่มีใครทำกันในวันอาทิตย์มีอยู่ครั้งหนึ่งเรากลับจากไหนก็ไม่รู้ รถสกปรกมาก วอลเตอร์จัดการล้างนิดหน่อยพอให้หายเลอะเทอะ เพื่อนบ้านคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นแล้วพูดเปรยๆว่า
“รู้ว่ามิสเตอร์เอชเคยอยู่ต่างประเทศมานานหลายปี” แปลว่าอยู่จนกลายเป็นคนต่างชาติไปเสียแล้ว จึงไม่เคารพกฎของเขา
ส่วนฉัน วันอาทิตย์ไหนที่อากาศไม่ดีและไม่ได้ไปไหนหรือทำอะไรเป็นพิเศษก็จะรีดผ้า วันหนึ่งลูกสาวของเพื่อนบ้านมาหาลูกสาวของฉัน ตอนนั้นพวกเขายังเป็นทีนเอจอยู่ ฉันกำลังรีดผ้า เลยบอกเขาว่า
“ลูเซีย หนูอย่าไปบอกแม่หนูนะว่าฉันรีดผ้าวันนี้” ยายลูกเซียตอบว่า “โอ๊ยไม่บอกหรอกค่ะ แม่ของหนูก็รีดเหมือนกันแหละ” ฮา
ในฤดูร้อน เวลาเราซักผ้าเสร็จก็มักจะเอามาตากข้างนอกในสนามแทนที่จะตากไว้ในห้องซักรีดใต้ดิน แต่ถ้าฝนตกทั้งอาทิตย์ เราก็เอาออกมาตากข้างนอกไม่ได้ พระอาทิตย์เจ้ากรรมก็มักจะโผล่โฉมออกมาวันอาทิตย์เสียด้วย ฉันละคันมืออยากจะเอาผ้าออกมาตากในวันนั้นแต่ก็ไม่อยากฝืนกฎ เดี๋ยวจะโดนแบบวอลเตอร์ ทีนี้พออยู่ไปนานๆมีชื่อเสีย (ง) มีคนรู้จักมากขึ้นก็ซักได้ใจ ค่อยๆลองเอาผ้าออกมาตากข้างนอกในวันอาทิตย์ดูซิว่าจะมีใครบ่นบ้างไหม ไม่มี เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันก็เอาอย่างบ้าง เดี๋ยวนี้การตากผ้าในสนาม (เป็นบางครั้ง) ในวันอาทิตย์ในยามที่มีอากาศดีจึงไม่มีใครค้อนอีกต่อไป แหม ก็มิสซิสเอชเธอเป็นผู้นำนี่นะ จะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายได้อย่างไร
ส่วนชาวสวิสอีก 71 เปอร์เซ็นต์ที่ต้องเช่าแฟลตเขาอยู่ตั้งแต่เกิดจนตายไม่มีสิทธิ์ เพราะเขาต้องไปซักผ้าและตากในห้องซักผ้ารวมที่เขาจัดไว้ให้ในห้องใต้ดิน และเขาก็มีเวรผลัดกันใช้เครื่องซักผ้า เวรใครก็เวรใคร จะแย่งวันกันไม่ได้ ส่วนใหญ่เขาจัดให้ซักกันเดือนละสองครั้ง ถ้าเธอเดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วได้กลิ่นประหลาดๆละก็ อย่าสงสัย ยังไม่ถึงเวรเขาซักผ้าจ๊ะ
เช้า วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคมเราเปลี่ยนเวลาเป็นฤดูร้อน ขาดทุนเวลานอนไปหนึ่งชั่วโมง แต่ไม่เป็นไร ไปชดเชยกันได้ในปลายเดือนกันยายนเมื่อเปลี่ยนเวลาเป็นฤดูหนาว ตอนนี้ทางสวิสมีเวลาช้ากว่าเมืองไทยห้าชั่วโมงแทนที่จะเป็นหก ขนาดเปลี่ยนเวลาแล้วฉันคิดว่าจะได้ยลโฉมพระอาทิตย์บ้างก็เหลว กลับหนาวงั่ก แถมมีหิมะตกมาอีกต่างหาก
แต่พอวันอาทิตย์ถัดมา คือวันที่ 2 เมษายน อากาศก็อบอุ่นและดีขึ้นไม่น่าเชื่อ เราเลยถือโอกาสไปเดินเล่นกันที่ชายฝั่งทะเลสาบเมืองลูเซิร์น ชาวเมืองไม่รู้หลั่งไหลกันมาจากไหน ต่างหอบลูกจูงหลานออกมาเดินเที่ยวกันขวักไขว่ ในยามเช่นนี้ฉันมักจะคิดเล่นๆว่า คนสวิสคงจะทำสำมะโนครัวประชากรผิดเป็นแน่แท้ คนที่มาเที่ยวเผินๆมักจะถามฉันว่า ทำไมบ้านเมืองจึงเงียบเชียบเป็นเมืองร้าง ผู้คนหายไปไหนกันหมด แทนคำตอบ ฉันอยากให้พวกเขาได้มาเห็นเมืองลูเซิร์นในวันอาทิตย์ต้นฤดูใบไม้ผลินี้เหลือเกิน ทุกคนที่ออกมาเดินเที่ยวมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุข ชื่นชมกับแสงแดดอันสดใส พูดอย่างนี้คนที่ไม่เคยอยู่เมืองหนาวนานๆคงจะไม่เข้าใจว่าเวลาที่หนาวและอากาศมืดครึ้มนั้นเป็นอย่างไร เหมือนกับคนที่เคยอยู่แต่เมืองหนาว ไม่เคยมีประสบการณ์อยู่เมืองร้อน ก็นึกไม่ออกว่าที่ว่าร้อนๆนั้นเป็นฉันใด
ในวันนั้นฉันรับประกันว่าไม่มีใครอยู่บ้าน แม้แต่คนแก่คนเฒ่า คนพิการก็มีคนเข็นรถออกมาเดินเที่ยวด้วยดอกไม้ที่เพิ่งจะตูมก็เริ่มเบ่งบาน ออกดอกออกช่อสว่างไสว ต้นไม้ที่เคยยืนแห้งโกร๋นในฤดูหนาวเริ่มงอกใบสีเขียวอ่อน ภายในอีกสองสัปดาห์ ต้นไม้เหล่านี้จะเติบโตรวดเร็วจนเต็มที่ ปกคลุมทั่วบริเวณบ้าน ดอกไม้จำพวกทิวลิปสโนว์ดร็อป ฟอร์เก็ตมีนอต ไอริส โครคัส ฯลฯ ต่างก็ชูช่อกันบานไสว รับแสงแดดของต้นฤดูใบไม้ผลิกันอย่างสดชื่น พ่อแม่พาลูกน้อยออกมาเดินเล่น ส่วนลูกที่โตหน่อยก็ถีบจักรยานบ้าง เล่นสเกตบ้างตามมาข้างหลัง ในสวนสาธารณะที่จัดไว้สำหรับเด็กที่เรียกว่าโรบินสัน ก็มีพ่อแม่เอาเด็กมาเล่นชิงช้า ไม้ลื่น วิ่งเล่นส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวมีความสุขกันไปทั่วหน้า
บางคนที่เดินมาจนเมื่อยก็ไปหาโต๊ะนั่งดื่มน้ำชากาแฟกันตามบาทวิถีของร้านอาหารหรือโรงแรมที่เขาจัดไว้ให้ หนุ่มสาวบางคู่ไปนั่งคุยกันจู๋จี๋บนฝั่งแม่น้ำรอยส์บางคนถึงกับถอดเสื้ออาบแดดเลยก็มีส่วนที่สมถะหน่อยก็นั่งอ่านหนังสือบนม้านั่งในสวนสาธารณะ บางคนออกมาถีบจักรยานเล่น พวกแก๊งรถมอเตอร์ไซค์ก็ขับขี่กันออกมา จะส่งเสียงดังสักนิดหน่อยก็ไม่มีใครถือสา เพราะกำลังรื่นรมย์ ถ้าลูกสาวของฉันยังอยู่ที่ลูเซิร์นก็คงจะไปร่วมขบวนแก๊งของเขาเช่นกัน
ร้านขายหนังสือและของจิปาถะเล็กๆที่เราเรียกว่า คีออกส์ค (KIOSK) ก็เข็นพวกแผงหนังสือออกมาวางขายริมถนนเห็นแมกกาซีนสีต่างๆวางกันอยู่ครืดไปหมด
มอง ออกไปในทะเลสาบ แลเห็นคนเอาเรือใบออกมาเล่นอย่างสำราญคงจะเตรียมตัวแข่งในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า พวกหงส์และห่านก็ออกมาว่ายน้ำกันอย่างสำราญใจ ส่วนพวกเป็ดและพวกนกต่างก็เฝ้ารอแย่งอาหารที่คนบนฝั่งโยนลงไปให้ ข้อนี้ฉันอยากจะเตือนเอาไว้สักหน่อยว่า การให้อาหารพวกห่าน หรือหงส์ หรือเป็ดพวกนี้จำต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพราะทางเทศบาลเขาเลี้ยงให้อาหารดีอยู่แล้วถ้าไปให้อาหารอื่นที่แปลกปลอมจะทำให้สัตว์พวกนี้กินมากเกินไป อาหารไม่ย่อยทำให้ท้องเสียอืด ตายไปได้ง่ายๆ นึกว่าจะได้ทำบุญ กลับจะได้บาปไปเสียเปล่าๆไม่สมควร
มีตำนานเล่าว่า หงส์ที่อยู่ในทะเลสาบเมืองลูเซิร์นนี้ได้มาจากกษัตริย์ฝรั่งเศสองค์หนึ่งในศตวรรษที่ 17 จะเป็นองค์ไหนฉันไม่รู้แน่ เป็นของขวัญที่ให้กับลอร์ดแมร์เมืองลูเซิร์นในสมัยนั้น เพราะเป็นสมัยที่หนุ่มๆชาวสวิสมากมายออกไปเป็นทหารรับจ้างกัน เพราะฉะนั้นพวกหงส์ในปัจจุบันคงจะมีเชื้อชาติฝรั่งเศสสัญชาติสวิส
ส่วนพวกนกก็มีนกพิราบที่ทางเทศบาลพยายามจะกำจัด วันร้ายคืนร้ายก็เอาปืนออกมายิงพวกนี้เสียทีหนึ่งมีคนเล่าว่า บางทีเขาก็ให้ยาคุมกำเนิดมันกิน โดยผสมบดลงในอาหาร จะเท็จจริงอย่างไร ฉันไม่รับรอง ฟังเขาเล่าว่ามาอีกทีหนึ่ง
มองออกไปด้านหน้าแลเห็นเทือกเขาแอลป์ส่วนกลางที่ปกคลุมไปด้วยหิมะอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาพิลาตุสในต้นฤดูใบไม้ผลิ จะมีอีกาแจ๊กดอร์บินมาไกลจากยอดสูงของภูเขาแอลป์มาหาอาหาร เขามีตราตอกติดไว้ที่ตีนมัน จะได้นับได้ อีกาพวกนี้เชื่องมาก มันจะบินวนเวียนมาใกล้ๆผู้คนโดยไม่เกรงกลัวเลยวันหนึ่งมีนักท่องเที่ยวไทย 2-3 คนเห็นอีกานั่งอยู่บนตักฉัน ไม่นึกว่าฉันจะเป็นคนไทย หัวเราะคิกคักกับเพื่อนที่มาด้วยและบอกว่า “เจ้าแม่อีกานั่งอยู่นั่นไง” ฉันฟังแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้
ออก นอกเมืองลูเซิร์นไปอีกนิดหน่อยก็จะเห็นแปลงดอกไม้สวยๆอยู่ข้างถนน ชาวนาที่มีบ้านอยู่แถวนั้นปลูกดอกไม้พวกนี้เอาไว้ขาย เขาไม่ได้ออกมาขายเองหรอกนะ แต่เอาป้ายมาแขวนไว้บนถังกลมสีแดง บนป้ายเขียนไว้ว่าคัสเส้ (KASSE) ซึ่งแปลว่าที่ใส่สตางค์มีกรรไกรสำหรับตัดดอกไม้แขวนอยู่ เพื่อให้คนที่ผ่านไปมาที่อยากซื้อดอกไม้ไปตัดเอาเองตามชอบใจ แล้วหยอดเงินใส่ลงไปในถังกลมตามราคาของดอกไม้ที่ติดอยู่
ที่คลับเทนนิสฤดูร้อนของฉันก็เหมือนกัน เขามีตู้สีน้ำตาลใหญ่เอาไว้ข้างสนามในตู้มีตู้เย็นขายเครื่องดื่ม มีป้ายบอกราคาของชนิดเครื่องดื่มเอาไว้อย่างชัดเจน มีที่เปิดขวด มีแก้วไว้ให้เสร็จ ใครดื่มอะไรแล้วก็เอาเงินใส่ลงไปในเซฟที่เขามีไว้ให้ แล้วเซฟนี้ไม่ได้ใส่กุญแจ เท่าที่รู้ยังไม่เคยปรากฏว่ามีเงินหายเลย
ขณะที่นั่งเขียนจดหมายฉบับนี้เป็นวันที่หนาว (อีกแล้ว) ฉันเปิดหน้าต่างห้องทำงานออกไปเต็มที่ แลผ่านกระจกสามชั้นออกไปเห็นฝนตกอยู่พรำๆแต่ดอกเชอร์รี่สีชมพูที่ปลูกไว้ข้างหน้าต่างกำลังบานเต็มที่ โตขึ้นไปจนถึงหน้าต่างห้องนอนของลูกสาว เสียดายที่เขาไม่ได้มีโอกาสชื่นชมกับดอกสีสวยของมันในปีนี้เพราะได้ตัดสินใจไปทำงานเป็นนักตกแต่งอยู่ที่เมืองไทยเมื่อสี่เดือนที่แล้ว แต่วัน หนึ่งเขาคงจะกลับมา
หวังว่าพรุ่งนี้อากาศจะดีขึ้น และฉันคงจะมีโอกาสได้ชื่นชมกับแสงแดดของฤดูใบไม้ผลิอีกครั้งหนึ่ง เช่นวันอาทิตย์ในตอนต้นฤดูใบไม้ผลิที่ฉันเล่าให้เธอฟัง