ถึงแม้ว่าได้ร่วมชีวิตกันมานานหลายปี คนข้างเคียงของฉันก็มักจะทำอะไรให้แปลกใจเล่นอยู่บ่อยๆ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แล้วแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน อยู่ประเทศจีนก็เป็นเช่นนี้แหละค่ะ ชีวิตไม่จืดชืดเป็นน้ำยาเย็นอย่างอยู่ในประเทศที่พัฒนาอย่างสุดสุดแล้ว เช่นประเทศสวิส เพราะที่ประเทศนั้นแม้ว่าจะสวยงามเป็นบ้าน “ที่หนึ่ง” ของตนเอง ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เข้าที่ลงตัวไปหมดแล้ว จนเกือบจะไม่เหลืออะไรไว้ให้ตื่นเต้นมากนัก สู้อยู่ประเทศที่กำลังพัฒนาไม่ได้
เย็นวันหนึ่งในฤดูหนาว พอกลับจากที่ทำงาน เขาก็วางตั๋วเครื่องบินสองใบลงที่โต๊ะตรงหน้า นึกแปลกใจว่าทำไมเลขาฯ รีบเอาตั๋วเครื่องบินไปเมืองไทยมาให้เร็วนัก เพราะยังเหลือเวลาอีกตั้งสองอาทิตย์กว่าจะเดินทาง พอเงยหน้าขึ้นจะถาม คนข้างเคียงชาวสวิสของฉันก็รีบบอกโดยเร็วว่า
“ไม่ใช่ตั๋วเครื่องบินไปกรุงเทพฯหรอกนะ ไปเมือง ฮาร์บิน. (Harbin) น่ะ”
ฉันยังนั่งงงเป็นไก่ตาแตกอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะดัดจริตทำเป็นสาวน้อยชาติไหนก็ไม่รู้ร้อง “ว้าว” ออกมาด้วยความดีใจ อยากจะไปมานานแล้วเมืองนี้ แต่ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปกับคนอื่น นอกจากจะไปกับคนใกล้ตัว แต่เขาก็ช่างติดงานยุ่งเหยิง หาจังหวะไม่ได้สักที ฤดูหนาวเป็นฤดูที่ใครๆหลายคนไปเที่ยวที่นั่น เพื่อไปดู “เมืองประติมากรรมที่สลักด้วยหิมะและน้ำแข็งอันดับหนึ่งของโลก”
“อยากจะไปก็อยาก” ฉันปรารภ “แต่น่าเบื่อที่จะต้องตื่นแต่ไก่โห่” (ฉันใช้คำว่า at the crack of dawn) นั่งรถไปขึ้นเครื่องที่ผู่ตง (Pudong) ผู่ตงเป็นสนามบินใหม่ของเซี่ยงไฮ้ ความจริงไม่ได้มีกำหนดเปิดเร็วขนาดนี้ แต่ทางจีนต้องการให้เซี่ยงไฮ้มีสนามบินนานาชาติเทียมหน้าเทียมตาชาติอื่นๆ จึงได้รีบเปิดก่อนการประชุม APEC เมื่อปีที่แล้ว สนามบินใหม่โอ่โถงเทียบได้หรือดีกว่าสนามบินฮ่องกงเสียอีก แต่ความพร้อมยังไม่มี แถมยังไกลอีกต่างหาก บริษัทการบินหลายแห่งรวมทั้งการบินไทยด้วย จึงยังอิดเอื้อนที่จะไปใช้สนามบินใหม่ ซึ่งก็เป็นที่ถูกอกถูกใจของลูกค้าสายการบิน แต่มีข่าวออกมาแล้วว่าภายในเดือนตุลาคมปีนี้ (ขณะที่เขียนคือ พ.ศ.2545) ทุกคนจะต้องย้ายไปที่นั่น
“ทำไมเขาถึงได้อุตริไปสร้างสนามบินไกลสุดกู่อย่างนั้นก็ไม่รู้” ฉันยังคงบ่นต่ออย่างไม่สบอารมณ์” ไปสนามบินเก่าที่หงเฉาใช้เวลาชั่วโมงเศษๆเท่านั้น แต่ไปสนามบินใหม่นั่งรถไปถึงสองชั่วโมง เกือบจะเท่ากับเวลาบินไปฮาร์บินเชียวนะ”
“เอาเถิดน่า” สามีปลอบ “ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนอะไร นั่งงีบไปในรถ เดี๋ยวเดียวก็ถึง นายเหลียวแกขับรถนุ่มออกจะตาย”
ฮาร์บิน ตั้งอยู่เกือบจะเหนือสุดของประเทศจีนทางด้านตะวันออกในเขตแมนจูเรีย จากเซี่ยงไฮ้เราใช้เวลาบินสองชั่วโมงสี่สิบนาที พอถึงสนามบินรถของโรงแรมก็มาจอดรออยู่แล้ว รู้สึกผิดคาดหน่อยๆที่อุณหภูมิมิเพียงแค่ติดลบสิบแปดองศาเซลเซียสเท่านั้น ไม่ใช่ติดลบสามสิบหกแบบอากาศในหน้าหนาวของไซบีเรีย อุตส่าห์เตรียมเครื่องหนาวจากสวิสมาเสียเพียบ ไม่ได้ “travel light’ อย่างที่เคยทำเวลาไปไหนๆ เพียงไม่กี่วันในเขตที่มีอากาศธรรมดา
ถนนไปโรงแรมแชงกรีล่าดีพอใช้ ไม่เห็นมีใครใช้ล้อหน้าหนาวอย่างในสวิส อากาศทึมๆนิดหน่อย ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็ถึงโรงแรม พอเช็คอินและรับประทานอาหารกลางวันกันเรียบร้อยแล้ว เราก็นั่งแท็กซี่เข้าไปในตัวเมือง รถพาไปลงที่หน้าโรงแรม “Gloria Inn” เราเดินตัดผ่านจัตุรัสใหญ่แห่งหนึ่งไปยังฝั่งแม่น้ำ “ซองหัว” ที่อยู่ไม่ไกลนัก แลเห็นสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำอยู่ทางขวามือ
ที่อนุสาวรีย์น้ำท่วม หรือ “Flood Monument” มีผู้คนเดินกันอยู่ขวักไขว่ แต่ละคนอยู่ในเครื่องนุ่งห่มกันหนาวเต็มที่ สวมเสื้อโอเวอร์โค้ท สวมบู๊ตและถุงมือกับหมวก แม้อากาศจะหนาวเหน็บ แต่ทุกคนก็มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มในเป็นมิตร อยากพูดคุยกับผู้คนแปลกหน้า
“ทำไมเขาถึงเรียกว่าอนุสาวรีย์น้ำท่วมล่ะ” ชาวสวิสหันมาถาม
“อ๋อ ก็เพราะเมื่อปี ค.ศ.1945 ได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้นที่นี่ไงคะ ทำให้ผู้คนล้มตายไปเยอะแยะ เขาจึงสร้างอนุสาวร์แห่งนี้ไว้” ผู้คงแก่เรียนตอบ เพราะทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ผุ้ถามประธานบริษัทใหญ่มีพนักงานเป็นพันหรือจะไปมีเวลาค้นคว้าเรื่องสัพเพเหระนี่ได้
“ฮาร์บิน เป็นภาษาแมนจูเรียนะคะ แปลว่า สถานที่สำหรับผึ่งแหจับปลาให้แห้งในแสงแดด” ไกด์จำเป็นชักนึกสนุกที่จะได้อวดความรู้ (แค่หางอึ่ง) “ไม่ยุติธรรมเลยนะคะที่ไปตั้งชื่อแบบนี้ให้เขา ดูจะเหยียดๆยังไงไม่รู้ แม้จะไม่ตั้งใจเหยียด แต่ก็คงไม่ยกย่องฮาร์บินสักเท่าไรในสมัยนั้น เพราะเป็นแค่เพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆไม่สลักสำคัญอะไร จนกระทั่งชาวรัสเซียมาพบเข้า และสร้างความเจริญให้นั่นแหละ เขาจึงได้ยกฐานะขึ้นมาเป็นเมืองเล็กๆ”
จากเขื่อนสองฝั่งของแม่น้ำ มีบันไดสร้างขึ้นจากน้ำแข็งทอดลงไปในแม่น้ำ “ซองหัว” ที่ได้กลายสภาพมาเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว มีพรมสีแดงปูลาดไว้กันลื่น แต่หากใครไม่อยากเดินลงบันได ก็อาจจะไถล “ไม้ลื่น” น้ำแข็งลงไปก็ได้
วอลเตอร์คนใกล้ตัวของฉันควักเงินออกมาสิบหยวนเป็น “ค่าโง่” เอ๊ย ค่านั่งไถลลงบันไดลื่นสำหรับสองคน เขาจัดที่นั่งรองแบบกลม ถักด้วยเสื่อเอาไว้ให้นั่งกันเปื้อน คนจ่ายเงินไถลลงไปก่อน เพราะต้องการเก็บภาพภรรยาผู้น่ารักเอาไว้ดูเล่นยามเครียด แต่ยังไม่ทันที่จะกดชัดเตอร์เลย คุณผู้หญิงก็ไถลลงไปถึงพื้นเสียก่อนแล้วอย่างไร้เกียรติเสียด้วย มีแขนขาเก้งก้างยกชี้ขึ้นไปบนฟ้า ท่ามกลางความสนุกสนานครึกครื้นของ “จีนมุง” ทั้งหลาย เล่นเอานางเอกเหนียมแทบแย่ แต่ก็กัดฟันข่มความอายลุกขึ้นยืน แต่พื้นมันก็ช่างลื่นเหลือเกิน ขณะที่กำลังเก้ๆกังๆ อยู่ก็มีแขนแข็งแรงคู่หนึ่งมาช่วยยก “ซูโม่” ให้ยืนขึ้น หันไปดูแลเห็นชายชาวแมนจูร่างใหญ่ สวมเสื้อโค้ทและหมวกขนสัตว์แบบมีหูปิดห้อยทั้งสองข้าง หากไม่มีชาวสวิสไปด้วย อาจจะอุปโลกน์ให้เป็นพระเอกชั่วคราวพาเที่ยวชมเมืองตลอดเวลาที่พักอยู่ที่นั่นก็ได้
แต่ความฝันต้องทลายลงภายในอีกวินาทีหลังนั้นเองว่า ตะแกไม่ได้ช่วยเพราะเห็นนางเอกสวย พ่อรวย มีทรัพย์หรอกนะคะ แกอยากให้เราไปเช่ารถเทียมม้าของแกที่จอดอยู่ใกล้ๆนั่นเอง
“ตั้วเฉ่าเฉียน จะเอาเท่าไหร่” ฉันถาม
“เหลียงไบ่ไคว่ สองร้อยหยวน” เขาตอบทันที
“ไท้กุ้ย แพงไป เผี่ยนยี่อี้เดี๋ยน ลดลงหน่อยสิ” ฉันต่อราคา
“ปู่กุ้ย ไม่แพง” เขาป้องกันผลประโยชน์ในที่สุดเราก็พบกันครึ่งทางด้วยราคาหนึ่งร้อยหยวน สำหรับให้รถพาข้ามแม่น้ำซองหัวไปถึงฝั่งทางโน้นของเกาะ “พระอาทิตย์” (ไท้หยางต๋าว) และรอรับกลับมาส่งที่เดิม
รถม้าที่นั่งไปมีประทุนและมีผ้าใบปิดไว้ทั้งสองข้างเพื่อกันลม ถ้านั่งรถไปเฉยๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวตัวอาจจะแข็งตายได้ง่ายๆ เจ้าหนุ่มแมนจูตามขึ้นรถมาด้วย เขาอธิบายว่าเกิดและเติบโตมาในเมืองฮาร์บิน จึงอยากจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมการท่องเที่ยวของเมืองนี้ด้วย แกคุยแบบน้ำลายแตกคอไปตลอดทาง ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะไม่ได้ตั้งใจฟังแกสักเท่าไร ต้องการดูทิวทัศน์มากกว่า ทุกหนทุกแห่งปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งจนหมดสิ้น ท่าเรือที่มีเรือจอดในฤดูร้อนก็มีเรือจอดเกยตื้นน้ำแข็งอยู่หลายลำ ดูแปลกตา เหนือศีรษะแลเห็นสายเคเบิ้ลของรถลอยฟ้าสำหรับผู้ที่ต้องการโดยสารไปอีกฟากหนึ่ง แต่ไม่ต้องการนั่งรถม้าอย่างเรา สารถีนำรถวิ่งข้ามแม้น้ำซองหัวไปได้สักยี่สิบนาที ก็พามาถึงฝั่งของเกาะพระอาทิตย์ (ไท้หยางต๋าว) แล้วจอดให้ลง เราต้องเดินลัดเลาะเลียบไปบนพื้นน้ำแข็งลื่นๆตามฝั่งและขึ้นบันไดไปอีก จึงมาถึงถนนอันเป็นที่ตั้งของปาร์คมิตรภาพของจีนและญี่ปุ่น (Sino-Japanese Friendship Park) ซึ่งเป็นที่จัดการแสดงนิทรรศการการประกวดประติมากรรมหิมะในระหว่างเดือนมกราคมของทุกปี
ขณะที่กำลังเดินอยู่ ส้นรองเท้าบู๊ตของวอลเตอร์เกิดหลุด ทั้งๆที่เป็นบู๊ตยี่ห้อที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกของสวิส ไม่บอกแบรนด์เนมนะคะ ไม่ต้องการโฆษณาให้ อาจจะเป็นเพราะทิ้งไว้ในที่แห้งนานเกินไปก็ได้ กาวที่ติดไว้หรืออะไรก็แล้วแต่พลอยแห้งไปด้วย จึงหลุดออกมา โชคดีที่มีร้านเล็กๆขายของจิปาถะจำพวกเสื้อขนสัตว์ ถุงมือ หมวก ฯลฯ อยู่ในบริเวณนั้น เราจึงหยุดดู เจ้าของร้านผัวเมียในราวกลางคนยกบู๊ตหนังสัตว์คู่หนึ่งออกมาอวด พอลองใส่ดูปรากฏว่าใส่ได้ ถามว่าราคาเท่าไหร่ เขาบอกว่า “ลิ่วฉือไคว่ หกสินหยวน” ฉันไม่เชื่อหูตัวเองว่าบู๊ตดีๆเช่นนี้จะถูกอะไรปานนั้น จึงย้ำถามว่า “หนีเฉินเมอะซั้ว คุณว่าอะไรนะ”
เขาตอบอีกว่า “ลิ่วฉือไคว่ ก็สามร้อยบาทเท่านั้น “
วอลเตอร์เลยควักเงินให้ไปโดยไม่ต่อราคา เจ้าของร้านดีใจแถมถุงเท้าไหมพรมให้หนึ่งคู่เป็นรางวัลที่ไม่ต่อ ขอสารภาพว่าต่อไม่ลงค่ะ นิดๆหน่อยๆ สงสารคนขาย กว่าจะได้เงินมายังชีพก็โดน “ผู้มีอันจะกิน” หยุมหยิมเอาเปรียบ ต่อราคาจนบางครั้งคนขายแทบไม่เหลือกำไร ต้องสารภาพว่าตัวเองก็ต่อราคาของเก่ง แต่พอหอมปากหอมคอ พอสนุก ไม่ให้เขาเอาเปรียบ และเมื่อรู้ว่าถึงจุด “พอดี” ก็จะหยุด เพราะไม่ต้องการเอาเปรียบผู้ที่ยากไร้กว่าตน
ได้รองเท้าใหม่แล้ว ชาวสวิสก็เดินอ้าวฝากรองเท้าคู่เก่าไว้หน้าประตูทางเข้า ก่อนจะเข้าไปชมนิทรรศการหิมะภายใน ปาร์คแห่งนี้ใหญ่โตสุดลูกหูลูกตา เข้าใจว่าส่วนหนึ่งคงจะเป็นทะเลสาบเล็กๆในฤดูร้อน แต่พอถึงฤดูหนาว ก็กลายเป็นน้ำแข็ง มีศิลปินจากหลายชาติมาร่วมแสดงฝีมือแกะสลัก เช่น ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อิตาลี โรมาเนีย เป็นต้น เราหยุดคุยกับศิลปินชาวโรมาเนียสองคนที่กำลังขะมักเขม้นสลักก้อนหิมะให้เป็นอนุสาวรีย์ทหารหาญ เขาบอกว่าจะต้องรีบทำให้เสร็จก่อนจะถึงวันประกวดภายในเวลาอีกสองวันข้างหน้า ถัดมาเป็นหิมะรูปปลาฉลามตัวมหึมาอวดครีบ อวดหางชี้ขึ้นไปในอากาศ ใกล้ๆกันเป็นรูปปั้นเทพี “ตื่นตระหนก” มีมงกุฏครอบหัวคล้ายกับรูปปั้นอนุสาวรีย์ “Statue of Liberty” ที่นิวยอร์ค ฝ่ามือทั้งสองข้างยกขึ้น อ้าปากพยายามจะเปล่งเสียงร้อง ดวงตาเบิกโพลงอย่างตื่นตระหนก มีคำอธิบายว่า เทพีคงตกใจต่อความฉลาดล้ำลึกของมนุษย์ที่สามารถสร้างสิ่งที่เคยเป็นจินตนาการในด้านวิทยาศาสตร์ให้กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้
“ดูโน่นซิ” วอลเตอร์ชี้ไม้ชี้มือ “เขามีหมาเทียมรถให้เช่าด้วยนะ ถ้าเดินเมื่อยจะเช่ามานั่งสักคันดีไหม?”
“ไม่ละค่ะ สงสารหมา ต้องมาลากรถให้คนตัวใหญ่ๆอย่างเรานั่ง เดี๋ยวหลังมันจะหักเสียก่อน”
“No Way ไม่หรอก หมาพันธุ์นี้แข็งแรง มีไว้สำหรับลากเลื่อนไปในน้ำแข็ง เหมือนกันหมาที่คุณแม่ผมเลี้ยงไว้ที่ฟาร์มตอนผมเป็นเด็ก สำหรับใช้ให้มันลากรถ กระบอกใส่นมวัวไปให้โรงงานทำเนยแข็ง จำได้ไหมโรงงานที่ทำเนยแข็ง Emmental ใกล้บ้านที่ผมเคยพาคุณไปดู ผมชอบหมาแบบนี้ ฉลาดดี?” วอลเตอร์อธิบายเสียยืดยาว
“จำได้สิคะ” ฉันตอบอมยิ้มๆเมื่อหวนคิดถึงความหลังเมื่อสามสิบสองปีก่อน ตอนนั้นกำลังตั้งท้องลูกสาว พอเข้าไปในโรงงาน ได้กลิ่นฉุนเฉียวของเนยแข็งเข้าก็แทบจะแหวะ จำได้แม่นยำตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาว่าเนยแข็ง “เอ็มเมนทาล” ที่ส่งไปขายทั่วโลกนั้นยิ่งมีรูใหญ่เท่าไรยิ่งอร่อยมากขึ้นเท่านั้น
ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกทึ่งกับประติมากรรมหิมะซึ่งสร้างในลักษณะต่างๆ ไม่น่าเชื่อว่า จะมีใครอดทนแกะสลักสิ่งต่างๆเหล่านี้ออกมาเพื่อให้เป็นอาหารตาแก่มวลมนุษย์ในสภาพดินฟ้าอากาศที่เยือกเย็นหนาวเหน็บเช่นนี้ สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งรวมของศิลปินแกะสลักจากประเทศต่างๆทั่วโลกที่มาด้วยใจรักศิลปะเฉพาะตัว แม้แต่ “เชฟ” ของโรงแรมที่มีชื่อเสียงของโลกหลายแห่งก็มาเที่ยวที่นี่เพื่อโชว์ฝีมือการแกะสลักน้ำแข็งเข้าแข่งขัน และหาสิ่งบันดาลใจกลับไปโรงแรมในประเทศที่ตนทำงานอยู่
เราเดินขึ้นรถกลับไปยังฝั่งตรงข้ามเหมือนตอนขามา ลงจากรถในที่เดิม เดินผ่านจัตุรัสใหญ่หน้าโรงแรม “กลอเรียพลาซ่า” ที่ผ่านตอนขาไป เป็นเวลาบ่ายสี่โมงพอดี ท้องฟ้าเริ่มจะขมุกขมัวแล้ว เนื่องด้วยแสงอาทิตย์ตกเร็วมากในฤดูนี้ แสงไฟส่องประกายระยิบระยับไปทั่ว
“เราแวะไปดื่มกาแฟที่โรงแรมกลอเรียกันก่อนนะ” สามีชวน
“ดีเหมือนกันค่ะ” ฉันตอบ “จะได้ไปล้างมือเข้าห้องน้ำด้วย”
2.
เมื่อเสร็จจากเวลากาแฟ เราเดินเลาะไปตามถนน “จุ๊งหยาง” ไปเลี้ยวที่ถนน “จ๊างจื๊อ” ก็ถึงปาร์ค “เจ่าหลิน” ซึ่งเป็นแหล่งที่สำคัญของประติมากรรมน้ำแข็งมาเนิ่นนาน จ่ายเงินค่าผ่านประตูแล้วเราก็เดินเข้าไปในปาร์ค สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเหมือนกับในเทพนิยาย สิ่งก่อสร้างทุกชนิดตั้งแต่ปราสาทราชวัง กำแพงเมืองจีน คฤหาสน์ วัดวาอาราม สถูป เจดีย์ สัตว์ เช่น มังกร เสือ สิงห์ สลักขึ้นจากน้ำแข็งด้วยกันทั้งสิ้น มีหลอดไฟสีต่างๆ ซ่อนอยู่ข้างใจ ทำให้สิ่งก่อสร้างเหล่านี้มีสีสันต่างๆ ส่งแสงแพรวพราวเจิดจ้าไปทั่วบริเวณ
ในระหว่างเดือนมกราคม ถึงเดือนมีนาคม ประติมากรรมน้ำแข็งจะมีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงในเมืองฮาร์บิน แม้แต่เสาไฟก็ถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็ง มีแสงไฟซ่อนอยู่ข้างใต้ ตามหน้าบริษัท ห้างร้าน โรงแรม บ้านเรือนจะมีรูปสลักน้ำแข็งประดับอยู่จนทั่ว
“นั่นไงคะ ปราสาทในเทพนิยาย มีไม้ลื่นน้ำแข็งยื่นออกมาจากระเบียงด้วย อยากจะไปไถลอีกจังเลย สนุกดี” ฉันยังไม่เข็ดกับความ “อัปยศ” เมื่อตอนบ่าย
“คงจะเป็นปราสาทน้ำแข็งที่คู่บ่าวสาวที่สมรสหมู่ในเมืองจีนมาทำพิธีกันข้างในแล้วนั่งจับคู่ลื่นไถลลงมาโดยมีปี่พาทย์ วงดนตรีเล่นกันสนุกสนาน คงจะตุ้งแช่น่าดี แบบจีน ช่างกล้องก็จะจับภาพเอาไว้เป็นที่ระลึก เราน่าจะมาแต่งงานกันที่นี่เนอะ” ฉันชักรู้สึกอิจฉาคู่บ่าวสาวพวกนั้นขึ้นมาตงิดๆ
“แล้วเขาบอกหรือเปล่าว่า เอาน้ำแข็งมาจากไหน มาสร้างพวกนี้น่ะ?” สามีไม่ยอมติดหล่ม
“ก็เอามาจากแม่น้อซองหัวที่เป็นน้ำแข็งที่เราไปเที่ยวมาเมื่อกี้ไงคะ แม่น้ำนี้ไหลแรงมาก มีน้ำใสแจ๋ว มีโคลนตมติดอยู่น้อย พอกลายเป็นน้ำแข็งจึงโปร่งใส เพราะไม่มีตะกอน เหมาะสำหรับการสลักชนิดนี้ น้ำแข็งถูกเลื่อยออกเป็นแท่งใหญ่ๆหนาแท่งละประมาณ หนึ่งเมตร ยาวสองเมตร แล้วก็บรรทุกเอาไปไว้ตามสถานที่ต่างๆที่ต้องการกสลักน้ำแข็ง สมมติว่าถ้าเขาจะสลักสะพานใหญ่ๆสักหนึ่งสะพาน เขาก็จะต่อแท่งน้ำแข็งเข้าด้วยกัน แล้วฉีดน้ำเข้าไปเพื่อให้มันเชื่อมติดกันดี”
“รู้มากจริง” ไม่รู้ว่าสามีติหรือชม เรื่องเสียเงินไปเที่ยวไหนแล้วไม่ทำการบ้าน มัวแต่อยากจะช็อปปิ้งอย่างเดียวละก็ “เจ้าอย่าหวัง” ฉันคงอัดใจตายด้วยเสียดายเงินค่าเดินทาง ค่าที่พักที่เสียไปโดยไร้ประโยชน์ แม้ว่าจะพักกับเพื่อนฝูงก็ตามที น้องชายเคยบอกตอนที่พาเขาไปเที่ยวประเทศเยอรมนีว่า “พี่อย่าอ่านหนังสือมากนัก เดี๋ยวจะกลายเป็นพหูสูต” จนบัดนี้ยังไม่รู้ว่า “พหูสูต” แปลว่าอะไร
“ถ้างั้นตรงที่เขาขุดน้ำแข็งขึ้นมาก็เป็นโพรงอยู่สิ แล้วทำไง” ชาวสวิสซักไม่หยุด
“คุณสังเกตไหมล่ะคะว่าตอนที่เรานั่งรถม้าไปกลางแม่น้ำน่ะ มีคนสองสามคนก้มๆเงยๆอยู่ตามที่ต่างๆ เขาจับปลาในโพรงว่างค่ะ เขาว่าปลามักจะมีอยู่ชุมแถวๆนั้น กินอร่อยเสียด้วย แถมบางคนยังลงไปว่ายในน้ำที่อุณหภูมิต่ำถึงสี่องศาเซลเซียสอีกต่างหาก เคยเห็นรูปในหนังสือมีผู้ชายนุ่งกางเกงอาบน้ำตัวจิ๋วยืนรอลงไปว่ายน้ำกันเป็นกลุ่มใหญ่ ในร่องน้ำที่กว้างประมาณหนึ่งร้อยตารางเมตร ดูแล้วขนลุกแทน” ฉันคุยไม่ขาดปากตลอดเวลา ทีเราเดินไปตามระเบียงทาเดินน้ำแข็งของสิ่งก่อสร้างต่างๆ แล้วก็เดินเข้าเดินออกลอดประตูโน้นประตูนี้ไปเรื่อยๆในปราสาทน้ำแข็ง พอเริ่มรู้สึกว่าชักจะหนาว ก็พากันเดินออกประตูหน้าไปหารถแท็กซี่กลับโรงแรม
หลังอาหารเย็นเราขึ้นไปดื่ม “ไนท์แค้พ” กันบนชั้นสิบห้าซึ่งอยู่เหนือห้องที่เราพักหนึ่งชั้น มองออกจากหน้าต่างข้ามแม่น้ำซองหัวไป แลเห็นสถานที่ใหญ่โตมโหฬารประดับด้วยแสงไฟสว่างไสว แลดูใกล้โรงแรมนิดเดียว ตอนแรกคิดว่าถ้าเดินเรื่อยๆไปก็คงจะถึง แต่มารู้เอาตอนหลังว่าเดินข้ามไปไม่ได้ นอกจากจะไกลแล้ว แม่น้ำยังมีช่องโพรงที่เล่าให้ฟังเมื่อสักครู่ ถ้าเดินสะเปะสะปะไม่ถูกเส้นทาง อาจจะตกลงไปในช่องน้ำแข็งได้ง่ายๆ แสงไฟที่เราเห็นมาจากปาร์คใหญ่อีกแห่งหนึ่งซึ่งมีเทศกาลน้ำแข็งเช่นเดียวกับที่ “เจ่าหลิน” ที่เราไปมา แต่ใหญ่กว่ามาก
“เมืองเฉินหยางที่คุณพาฉันไปเยี่ยมผู้จัดการสาขาของคุณ อยู่ในมณฑลไห้หลองเจี๊ยงเหมือนกับเมืองฮาร์บินไหมคะ” ฉันชวนคุย
“ไม่ใช่ เมืองเฉินหยางอยู่ในมณฑลเหลียวหนิง ลงมาทางใต้กว่ามาก” สามีตอบแล้วถามฉันว่า “ให้หลองเจี๊ยง แปลว่าอะไรนะลืมไปอีกแล้ว?”
“ไห้หลองเจี๊ยงในภาษจีนกลางแปลว่า แม่น้ำมังกรสีดำค่ะ คนรัสเซียเรียกแม่น้ำสายเดียวกันนี้ว่า “อามัวร์” หรือ “เอเมอร์” แต่คนจีนใช้ชื่อแม่น้ำไห้หลองเจี๊ยงมาตั้งชื่อมณฑล ที่มีชื่อในภาษารัสเซียด้วย ก็เพราะแม่น้ำสายนี้ไหลกั้นพรมแดนระหว่างจีนกับรัสเซีย เมื่อสมัยก่อน มีปัญหาทะเลากันอยู่บ่อยๆ แต่ในปัจจุบันรัฐบาลทั้งสองได้แก้ปัญหาเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเปิดบริเวณให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินเข้ามาเที่ยวโดยทางเรือ” ฉันอธิบายยาวเหยียด เพราะรู้ว่าเขาสนใจฟังเรื่องแบบนี้ เช่นเดียวกับลูกสาว ซึ่งเวลานั่งคุยกันชอบเอาเปรียบที่สุด ตัวเองไม่ค่อยคุย แต่ชอบรบเร้าเหมือนเด็กๆ
“Mummy, please tell me a story.” พอบอกให้ไปอ่านเอาเอง ก็บอกว่าแม่เล่าสนุกกว่า แม่ก็ยุขึ้นเสียด้วย
“เมืองฮาร์บินมีศิลปะการก่อสร้างแบบรัสเซียมากนะ เห็นไหมว่าลักษณะการก่อสร้างมีหลังคาโดม รูปหัวหอมอยู่มาก สงสัยจะได้รับอิทธิพลมาจากรัสเซียพอสมควร เพราะประเทศอยู่ใกล้กัน” วอลเตอร์ตั้งข้อสังเกต
“ใช่สิคะ” ฉันตอบ “เมื่อตอนปลายศตวรรษที่สิบเก้า ฮาร์บินยังเป็นหมู่บ้านประมงเล็กๆอยู่เลย แต่พอมีการสร้างรถไฟสายทรานไซบีเรีย ก็มีคนรัสเซียเข้ามาทำงานกันมาก พาครอบครัวมาด้วย ติดตามด้วยชาวจีนที่เข้ามาหางานทำ ในปี ค.ศ.1905 ตอนที่มีการกำจัดชาวยิวแบบให้สิ้นซากในรัสเซียที่เรียกกันว่า pogrom ชาวยิวชาติรัสเซียก็พากันหนีการกวาดล้างเข้มาหลบภัยในจีน อีกครั้งหนึ่งหลังจากการปฏิวัติในรัสเซียเมื่อปี ค.ศ.1917 มีผู้อพยพจากรัสเซียเพิ่มขึ้นอีกถึงสองแสนคน”
“นึกๆดูแล้ว ชาวยิวนี่น่าสงสารเหมือนกันนะ ถูกหลายๆคนรังเกียจด้วยสาเหตุเพียงเพราะความเชื่อถือที่แตกต่าง ก็เพื่อนชาวอิสราเอลสัญชาติเยอรมันของผมไง คนที่เราเคยไปเยี่ยมเขากับเมียที่อิสราเอลเมื่อหลายปีมาแล้วน่ะ จำเรื่องที่เขาเล่าได้ไหมว่า เขาทั้งสองคนถูกจับเป็นเชลยนาซีตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 จนต้องหนีหัวซุกหัวซุน เป็นคนดี ไม่กินสินบนใครเลย ตอนที่เขามาสวิสเรื่องงาน ผมพยายามจะออกค่าโรงแรมให้หลายครั้ง ไม่ยอมรับท่าเดียว เพราะไม่ต้องการให้เรามองว่าเขากินสินบน ยอมรับแต่คำเชิญไปกินอาหารเย็นเท่านั้น”
“หายากนะคะคนอย่างนี้ บางคนยังไม่ทันเซ็นสัญญาซื้อเลย เพียงแต่แวะมาดูโรงงานในสวิสเฉยๆ หอบลูกหอบเมียพร้อมลูกน้องมาถึงสิบกว่าคน ปล่อยให้เราพากินพาเที่ยวเสียค่าโรงแรม แถมใช้โทรศัพท์ทางไกลกันอย่างเมามันอีกต่างหาก เขาไม่ตั้งใจจะซื้อสินค้าเลยแม้แต่นิด แต่ค่าที่สวิสแพง เลยปล่อยให้บริษัทเราจ่ายเงิน พวกเขาไม่มียางอายกันบ้างหรืออย่างไรนะ” ฉันบ่น เมื่อนึกไปถึงเงินที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ (ของบริษัท) และเวลา (ของฉัน)
“ช่างเถอะ เรื่องมันแล้วไปแล้ว” สามีปลง “มาเล่าเรื่องฮาร์บินให้ผมฟังต่อดีกว่า ฮาร์บินมีแต่ประติมากรรมน้ำแข็งแต่อย่างเดียว หรือมีอะไรอีกบ้างที่น่าสนใจควรจะรู้”
“มีสิคะ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้ตั้งค่ายขึ้นที่เมือง “ปิ่งฟ่าง” ห่างจากฮาร์บินไปประมาณสามสิบกว่ากิโล สำหรับเป็นที่ทดลองเพาะเชื้อกาฬโรค แล้วก็ใช้เป็นที่ทดลองทารุณนักโทษด้วยวิธีโหดร้ายต่างๆ เช่น ฉีดเชื้อกาฬโรคเข้าไปในร่างกาย ทิ้งให้นักโทษอยู่กับความหนาวจนแข็งตายหรือไม่ก็จับย่างทั้งเป็น นักโทษเหล่านี้มีทั้งชาวจีน ชาวรัสเซีย ชาวอังกฤษ และชาวเกาหลี ในหนังสือบอกว่าเดี๋ยวนี้เขาทำเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว”
“เหลือเกินนำ” สามีถอนใจ “ที่เมืองหนานจิงก็เหมือนกัน คนจีนถูกฆ่ากันเป็นเบือด้วยวิธีกรรมต่างๆ ใช้ร่างเป็นเป้ายิงแข่งขันกันบ้าง ใช้มีดขว้างบ้าง แล้วดูว่าใครจะฆ่าใครเร็วกว่าใคร ส่วนพวกผู้หญิงก็โดยข่มขืน แล้วเอาไม้เสียบแทงเข้าไปในอวัยวะเพศ ผมเห็นรูปแล้วอนาถใจจริงๆ ทำไมพวกมนุษย์จึงโหดร้ายยิ่งกว่าสัตว์ พวกสัตว์จะดุร้ายก็เพื่อป้องกันตัวเองหรือลูกน้อยหรือไม่ก็ต่อเมื่อหิวเท่านั้น”
วันรุ่งขึ้นเราเช่ารถลิมูซีนของโรงแรมเข้าไปในเมือง พอไปถึงประตูหน้าปาร์คสตาลิน ก็สั่งให้คนขับจอดแล้วเดินเข้าในตามถนนโรยกรวด อากาศยังคงหนาวเย็นแต่ไม่ถึงแบบไซบีเรีย คล้ายคลึงกับสวิสมากกว่า จึงไม่เดือดร้อนะไร ปาร์คสตาลิจตั้งอยู่บนแม่น้ำซองหัว อาณาบริเวณอยู่ตรงกับข้ามกับเกาะพระอาทิตย์ที่เราไปมาเมื่อวาน ในฤดูร้อนคงจะครึ้มร่มเย็นด้วยต้นไม้ แต่ในฤดูหนาว ต้นไม้สลัดใบจนหมดสิ้น แลดูโกร๋นเกรียน มีสลักน้ำแข็งรูปต่างๆกันอยู่แทนที่ เราหยุดถ่ายรูปเป็นที่ระลึก แล้วก็เดินทะลุไปออกที่อนสาวรีย์น้ำท่วม
ตอนที่ชาวรัสเซีย “ขาว” หนีการปฏิวัติมาจากรัสเซีย ได้สร้างโบสถ์และวิหารของชาวโอธอด๊อกซ์ไว้ถึงสิบเจ็ดแห่ง ส่วนชาวรัสเซียที่เป็นยิวก็ได้สร้างวัดยิว หรือsynagogue ไว้สองแห่ง เป็นสัญลักษณ์ว่า สมัยหนึ่งได้มียิวสัญชาติรัสเซียอพยพมาอยู่ที่เมืองนี้ แต่ระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน พวกเขาก็ต้องหลบหนีไปกบดานกันอีกครั้งหนึ่ง ในปัจจุบันนี้เหลือแต่เพียงวิหาร “เซ็นต์โซเฟีย” เท่านั้นที่ขึ้นหน้าขึ้นตา แต่ทางการได้ใช้เป็นสถานที่แสดงนิทรรศการต่างๆเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ได้บอกว่านิทรรศการจัดขึ้นปีละสามครั้ง
ตอนทีเราไปมีการแสดงนิทรรศการรูปภาพถ่าย สีดำขาว เล่าความเป็นไปของเมืองฮาร์บินจากหมู่บ้านประมงเล็กๆมาเป็นเมืองใหญ่ มีแบบจำลองของวิหาร ตั้งโชว์ไว้ตรงทางเข้า บนเพดานและฝาผนังแทบจะไม่มีร่องรอยของภาพวาดหรือจิตรกรรมฝาผนังให้เห็นเลย เพราะถูกทำลายไปจนหมดสิ้นโดยพวกเรดการ์ด เราเดินชมรูปกันอยู่พักใหญ่ๆ น่าเสียดายที่มีคำอธิบายเป็นภาษาจีนทั้งหมด แต่ก็เดาได้จากหลายรูปถึงความเป็นมาของเมืองฮาร์บิน ในจำนวนนี้มีรูปการทำสัญญาสร้างทางรถไฟระหว่างรัสเซียกับฮาร์บินในปี ค.ศ. 1896 อยู่ด้วย พร้อมทั้งรูปที่อธิบายว่าชาวรัสเซียใช้เวลาว่างกันอย่างไรในสมัยนั้น เป็นต้น นอกเหนือไปจากสิ่งก่อสร้างที่มีหลังคาแบบโดมรูปหัวหอมและแบบที่สร้างก่อนปฏิวัติในรัสเซียหลงเหลือให้เห็นแล้ว ยังมีการก่อสร้างแบบฝรั่งเศสอยู่หอมปากหอมคอ พอให้รู้ว่าในสมัยก่อนปฏิวัติพวกชาวรั้วชาววังของพระเจ้าซาร์ ถือว่าภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาผู้ดี และแบบแผนที่ได้มาจากฝรั่งเศสก็เป็นที่นิยมกันไม่น้อย
ก่อนไปฮาร์บิน มีคนแนะนำให้รวมอาหารรัสเซียเข้าด้วยในโปรแกรม เพราะมีร้านรัสเซียอยู่หลายร้าน รสชาติก็อร่อย ร้านแต่งสยสไตล์รัสเซีย แต่เราไม่ได้นำพาเพราะเข็ดกับร้านอาหารสไตล์รัสเซียตอนไปเที่ยวเส้นทางสายไหม และไม่ไว้ใจอาหารรัสเซียที่ปรุงโดยคนจีนในเซี่ยงไฮ้ เราได้ลองรับประทาน “ฮ็อทพ็อท” ของมองโกเลียแทน รู้สึกว่าไม่เลวและอร่อยเกือบเท่า “ฮ็อทพ็อท”ที่มีชื่อเสียงของเมือง “เฉินหยาง” สงสัยจะเป็น “ฮ็อทพ็อท”แปลง เพราะอาหารมองโกเลียในมองโกเลียไม่อร่อยเลย เหมือนกับอาหารจีนในเมืองจีนก็ไม่เอาไหนเหมือนกัน
ออกจากวิหารเซ็นต์โซเฟีย เราเดินไปดูโบสถ์แห่งอื่นอีกสองแห่งซึ่งมีขนาดเล็กกว่ามาก แต่ประตูทางเข้าด้านหน้าปิด คล้องด้วยโซ่ใส่กุญแจ ลองเดินไปดูประตูข้างๆ ผลักเข้าไปก็เปิดออกอย่างง่ายดาย ภายในเงียบเหงา กลิ่นอาหารจากครัวโชยออกมาทางช่องเหนือประตู แลเห็นหญิงชาวจีนสองสามคนนั่งคุกเข่าอยู่บนม้านั่ง หันหน้าเข้าข้างฝา ในมือถือลูกประคำ สวดมนต์ด้วยเสียงอันดังและโหยหวน ฟังเหมือนกับชาวยิวสวดมนต์ต่อหน้าโลงศพของ “รัชเซล” (Rachel’s Tomb) ใกล้กรุงเยรูซาเล็ม
จากนั่นเราไปเที่ยวตลาดรัสเซีย (Russian market) ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ขายของที่ระลึกจิปาถะ จำพวกตุ๊กตาที่ทำด้วยฟาง หีบรูปไข่ รูปภาพที่ทำจากหอยและรูปสลักที่ทำจากพลอยราคาถูก เป็นต้น ตัวเองไม่ใช่นักช็อปของประเภทนี้ เพราะสนใจเฟอร์นิเจอร์ของเก่ามากกว่า จึงไม่ได้ซื้ออะไรนอกจากสร้อยข้อมือสองเส้นไปฝากลูกสาวและน้อง ใต้ดินที่เคยขุดไว้สำหรับเป็นหลุมหลบภัยในสมัยสงครามก็ทำเป็นร้านเล็กๆสำหรับขายของให้กับชาวเมือง
เราสั่งให้รถลีมูซีนของโรงแรมมารับตอนห้าโมงเย็น เพื่อพาไปดูการสลักน้ำแข็งอันมโหฬารที่จัดเป็นครั้งที่สามในเมืองฮาร์บิน รอจอดให้ถ่ายรูปกลางสะพานจากแสงไฟที่เราเห็นจากโรงแรมเมื่อเย็นวาน รู้สึกแปลกใจที่เห็นรถวิ่งกันขวักไขว่บนท้องถนน พอเข้าไปถึงบริเวณงานจึงได้เห็น รถจอดกันแน่นขนัดยาวเหยียด คนขับหาที่จอดไม่ได้ ต้องวนอยู่หลายรอบ จึงสามารถจอดให้เราลงได้ ผู้คนไม่รู้ว่าหลั่งไหลกันมาจากไหน เนืองแน่นไปหมด ผิดกับการแสดงน้ำแข็งที่ “เจ่าหลิน”ที่เราไปมาเมื่อวานอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ที่นั่นมีคนน้อยมาก เราจึงคิดว่าที่นี่คงจะเป็นแบบเดียวกัน ต้องเดินไปประมาณสิบนาที จึงมาถึงประตูทางเข้าขายตั๋ว โชคดีที่มีหลายช่องจึงไม่ต้องรอนาน ประกอบกับคนส่วนใหญ่ที่มากับทัวร์ เขาจึงมีตั๋วเรียบร้อยแล้ว
เหนือประตูมีป้ายใหญ่เขียนเป็นภาษาอังกฤษและภาษาจีนว่า “Harbin Ice and Snow World”
ข้างใต้เป็นรูปสลักน้ำแข็งเป็นม้าลากรถที่เห็นได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมือง “ซีอาน” ที่มีการค้นบพกองทัพรูปปั้นจากดิน ในลักษณะต่างๆ พอเดินเข้าไปในบริเวณ เราต้องตะลึงลานกับแสงไฟ กับสิ่งก่อสร้างต่างๆล้วนแต่สลักมาจากน้ำแข็งด้วยกันทั้งสิ้น จะแลไปทางไหนดูเหมือนกันเราได้ตกลงไปในห้วงวังวนของเทพนิยายปรัมปรา รูปสลักของดิสนี่ย์แลนด์ เห็นโดดเด่นแต่ไกล รูปสลักมังกรตัวยาวมีแสงไฟสีแดงบรรจุไว้ภายในปราสาททอประกายสีรุ้ง มีทางเดินต่อเชื่อม ภายในมีเครื่องเรือนจริงๆตั้งอยู่ สิ่งก่อสร้างทุกหลังวับแวยวด้วยแสงไฟที่กะพริบอยู่ในความมืด รวมถึงกังหันอันมหึมาของชาวฮอลแลนด์และโคลีเซียมโบราณ คนหนุ่มคนสาวหลายคนทำตนเป็นนักไต่เขา ใช้กำแพงน้ำแข็งเป็นสถานที่ทดลองความสามารถ ในขณะที่หลายคนปีขึ้นไปบนเวทีกว้างใหญ่ที่สร้างขึ้นด้วยน้ำแข็งอีกเหมือนกัน มีพรมสีแดงปูกันลื่น สำหรับเป็นฟลอร์ให้แขกไต่ขึ้นไปเต้นรำกันแก้หนาว มีดนตรี ดิสโก้ให้จังหวะอยู่สนั่นหวั่นไหว เราสองคนขึ้นไป “บิดตัว” พอยืดเส้นยืดสายคลายหนาว แล้วก็ไต่บันได (น้ำแข็งเหมือนกัน) ขึ้นไปชั้นบนสุดเพื่อจะได้ชมวิวเบื้องล่าง กว่าจะขึ้นบันไดและลงบันไดก็ต้องเบียดผู้คนที่แออัดยัดเยียดเป็นปลากระป๋อง เพราะใครๆก็อยากเดินเหยียบไปบนพรมสีแดงกันทั้งนั้น เพื่อจะได้ไม่ลื่นตกบันไดลงมาให้แขนหรือขาหัก
กำลังชมวิวอยู่เพลินๆ ก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจากเสียงพลุที่เขาจุดขึ้นใกล้ๆ สีแดง เขียว น้ำเงิน เหลือง ส้ม แสด และชมพูส่งประกายวาบขึ้นในท้องฟ้า ท่ามกลางเสียงตบมือโห่ร้องอย่างสนุกสนานและอารมณ์ดีของผู้ชม เราใช้เวลาอยู่ในบริเวณงานประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ตัดสินใจกลับโรงแรม
ดีใจที่ออกจากโรงแรมไปดูประติมากรรมน้ำแข็งตอนห้าโมงเย็น หากไปช้าอีกนิดก็คงจะไม่เห็นอะไร เพราะหลังจากที่เรากลับถึงโรงแรมไม่นานนัก มองออกจากห้องพักไปอีกที ทั่วทั้งบริเวณปกคลุมไปด้วยความมืดแห่งรัตติกาลทั้งๆที่เป็นเวลาเพียงสองทุ่มเท่านั้น
แสงไฟที่เห็นเมื่อก่อนหน้านี้ไม่มีให้เห็นอยู่อีกเลย มันช่างเหมือนกับได้นอนหลับไปแล้วฝันไป สมแล้วที่เขาสร้างมันขึ้นด้วยน้ำแข็ง เหมือนดั่งเช่นเมืองมายา เมื่อความร้อนย่างกรายเข้ามา รูปสลักอันสวยงามเหล่านั้นก็จะละลายหายไปจนหมดสิ้น แต่ฉันก็ดีใจที่ครั้งหนึ่งได้มาเห็นด้วยตาตนเอง และเขียนเรื่องนี้ขึ้นด้วยความรักสำหรับมอบให้คุณผู้อ่านทุกท่าน จนกว่าจะพบกันใหม่ค่ะ