ขี่ม้าเหล็กข้าม ไซบีเรีย ตอนที่9

ปลายทางของเจ้าม้าเหล็ก

เช้าวันศุกร์ที่สถานีรถไฟนครหลวงเซี่ยงไฮ้ รถไฟขบวนที่ ๙๙ ก็แล่นออกจากชานชาลาไปยังจุดหมายปลายทางสุดท้ายคือ ฮ่องกง ความจริงรถไฟขบวนนี้กำหนดจะออกเวลาเที่ยงยี่สิบห้านาที และกำหนดจะถึงฮ่องกงเวลาบ่ายโมงสิบนาทีของวันรุ่งขึ้น แต่วันนั้นตารางรถไฟร่นระยะเวลาออกรถเป็นสิบโมงครึ่งตอนเช้า และจะถึงฮ่องกงในตอนประมาณเที่ยง ด้วยตารางเวลาที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ บริษัทท่องเที่ยวจึงมักจะออกตั๋วให้ผู้โดยสารในวินาทีสุดท้ายเสมอ และทางการรถไฟจีนมักจะไม่ขายตั๋วแบบไปกลับให้ผู้โดยสาร แต่จะขายขาไปและขากลับแยกกัน ราคาค่าโดยสารจ่ายเหมือนกันไม่ว่าจะแยกหรือไม่แยก ไม่เหมือนในประเทศอื่นๆที่ถ้าหากซื้อไปกลับจะถูกกว่า วิธีการขึ้นรถไฟข้ามประเทศก็คล้ายคลึงกับเครื่องบินผู้โดยสารเช็คอินแล้วก็แยกสัมภาระคือกระเป๋าเดินทางออกจากกระเป๋าหิ้วแล้วก็ไปขึ้นรถโบกี้รถไฟในวันนั้นเต็ม ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นคนฮ่องกงและชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่สังเกตจากสำเนียงและวิธีการพูด ไม่มี “ฝรั่ง” แปลกปลอมมาเลย นอกจากเราสองคนพวกเขาต่างเก็บตัวกันเงียบอยู่ในห้อง ยกเว้นหญิงมีอายุสองคนนั่งคุยกันโดยเปิดประตูทิ้งเอาไว้

“ผิดหวังจัง ที่รถไฟขบวนนี้ไม่มีห้องน้ำส่วนตัวให้เราเหมือนสายปักกิ่งเซี่ยงไฮ้” ฉันปรารภ

“แต่เขามีห้องใหญ่ห้องหนึ่ง มีอ่างล้างหน้าหลายใบจัดไว้ให้นะ แล้วก็มีส้วมแบบตะวันตกอยู่ที่ปลายโบกี้” สามีช่วยพูดให้กำลังใจ “นอกจากนั้นยังมีห้องน้ำแบบฝักบัว (Shower Room) ให้ด้วย”

ฉันได้ไปเห็นแล้ว หากแต่ห้องล็อคเอาไว้ดังนั้น ถ้าอยากอาบน้ำก็คงต้องไปขอกุญแจจากเฉียวเจี๋ย Xiaojie (นางสาว) พนักงานตู้รถไฟมาไขเปิด ซึ่งเขาล็อคเอาไว้ เพราะคงไม่อยากให้ผู้โดยสารเข้าไปใช้ในตอนนั้นก็ได้ แต่ความรู้สึกอย่างหนึ่งบอกฉันว่า แม่เฉียวเจี๋ยสองคนที่ประจำอยู่ที่โบกี้นี้อาจจะไม่ให้กุญแจง่ายๆ เพราะตอนที่ขึ้นรถมา เขาตรวจตั๋วด้วยท่าทางที่ไม่สู้จะเป็นมิตรเท่าไรนัก

ทิวทัศน์ที่ผ่านสายตาเป็นทิวทัศน์ที่คุ้นเคย เพราะนั่งรถยนต์ผ่านแล้วหลายครั้งจากภูมิประเทศที่มีหิมะปกคลุมทางทิศเหนือมาเป็นภูมิประเทศในแบบโซนที่อบอุ่นขึ้น ต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นอยู่เขียวชอุ่มทั่วไป แลเห็นแปลงข้าวสาลีและข้าวเจ้าสุดลูกหูลูกตา ไม่มีที่ว่างแม้สักตารางเมตรถูกทิ้งให้เป็นที่ร้างว่างเปล่า เขาใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วให้เป็นประโยชน์ในการกสิกรรมเห็นผู้คนถือถังน้ำรดน้ำในเรือกนาแบบในสมัยก่อนเห็นคนแบกถังบนหลังมีสายฉีดยาฆ่าแมลงบางคนก็ก้มๆเงยๆขุดดินด้วยเครื่องมือที่มีอยู่และหาได้ คือ จอบและพลั่ว นานๆสักครั้งจึงจะได้เห็นรถแทรกเตอร์เข้าช่วย ตามระยะทางที่ผ่านไม่มีที่ไหนที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ เนื่องจากในบริเวณพื้นที่แห่งนี้อุดมสมบูรณ์ จึงมีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น ตามลำคลองหนองบึงมีเป็ดหรือห่านฝูงใหญ่ว่ายน้ำหรือยืนอาบแดดไซ้ปีกขนกันอย่างเพลิดเพลิน เป็นธรรมชาติในชนบทที่หาดูไม่ได้ง่ายนักในตัวเมือง เวลาผ่านไปประมาณสองชั่วโมง รถไฟก็ผ่านเมืองหางโจ๊ว ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของจีนมีคำพังเพยว่า “หากเหนือฟ้าขึ้นไปมีสวรรค์ บนพื้นดินก็มีเมืองหางโจ๊วและซูโจ๊วที่เป็นสวรรค์” คนจีนมักสรรหาคำพูดแปลกๆมาใช้บรรยายเรื่องราวหรือตำนานต่างๆของเขาอยู่เสมอ

รถไฟวิ่งต่อไปทางตะวันออกเฉียงใต้ผ่านเมืองต่างๆ เช่น หนานจั๊ง ปิ้งช้าง ปิ้งชี้ กวางโจ๊ว เฉินเจิ่น และเกาลูน นานๆครั้งจึงจะจอดที่สถานีให้ผู้คนได้ขึ้นและลง ตอนเย็นหลังอาหาร “เฉียวเจี๋ย” เร่เอาของที่ระลึกมาขายเปลี่ยนที่ท่ามาเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสเพราะต้องการขายของที่หอบมา ฉันปฏิเสธไปอย่างสุภาพเพราะกระเป๋าเต็มหมดแล้ว แต่อยากจะขอกุญแจไปเปิดห้องอาบน้ำมากกว่า เพราะอยากอาบน้ำ

“ห้องน้ำเสีย huaile ฮ่วยเล่อะ” เฉียวเจี๋ยบอกห้วนๆ

“เป็นอะไรเสีย Wei Shenme huia?” ฉันซัก

“ห้องน้ำไม่ดี xizhao buhao ฉีเจ๋าปู๋เห่าใช้ไม่ได้ meiyao yong หมัยเหย่าย่ง” นางสาวจีนยืนยัน ไม่บอกว่าทำไมห้องน้ำเสีย

“ถ้างั้นขอเข้าไปดูหน่อย เผื่อสามีของฉัน วั๋วเต๊อะ เชี้ยวเชิ่ง wode xiangheng จะช่วยซ่อม เชี้ยวหลี xiuli ให้ได้”

เมื่อทนฉันตื๊อไม่ได้ หล่อนก็ไปเปิดประตูห้องน้ำให้อย่างเสียไม่ได้ พอประตูเปิดฉันก็ตกตะลึกด้วยพบว่าห้องที่ควรจะเป็นห้องน้ำให้ผู้โดยสารชั้นหนึ่งที่เสียสตางค์ค่ารถไฟแพงๆข้ามประเทศไว้ใช้นั้น เต็มไปด้วยข้าวของสารพัดสารพันที่ยายคนนี้เที่ยวเร่ขายเป็นของที่ระลึก “ของเต็มแบบนี้ มิน่าจึงใช้ห้องน้ำไม่ได้” ฉันต่อว่า

แต่เธอกลับบอกว่า “เอาของมาเก็บไว้เพราะฝักบัวใช้ไม่ได้”

“ถ้าห้องน้ำเสียจริง ทำไมจึงไม่แจ้งให้เจ้านายเหลาป๋าน laoban รู้ล่ะ เขาจะได้ให้ช่างมาซ่อม?” ฉันไม่ยอมลดละ

“ไม่มีเวลาพอ ฉือเจี๊ยนปู้โก้ว Shijian bu gou” หล่อนตอบกลับ

“เอาของออกไปจากห้องนี้ให้หมด แล้วฉันจะดูเองว่า ฝักบัวใช้ได้ไหม” ฉันสั่ง ใช้อำนาจที่เคยเป็นเลดี้เบอร์หนึ่งในเมืองจีนออกมาใช้ แต่ก็ได้ผล เธอรีบไปเรียกพวกพ้องจากตู้เสบียงออกมาช่วยกันขนของออกไปไว้ที่อื่นภายในเวลาไม่นานห้องน้ำก็ว่างเปล่า ในขณะเดียวกันหญิงชาวจีนสองคนที่คุยกันอยู่ในห้องได้ยินเสียงเอะอะก็โผล่หน้าออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอรู้เรื่องก็บอกให้ฉันเขียนจดหมายไปฟ้องผู้ใหญ่ในกรมรถไฟของเซี่ยงไฮ้

ฉันไม่แปลกใจเลย เมื่อสามีลองไปเปิดฝักบัว ปรากฏว่าใช้การได้ แม้ว่าน้ำจะไหลกะปริบกะปรอยก็ตาม พอรู้ตัวว่าถูกจับโกหกได้คาหนังคาเขา แม่เฉียวเจี๋ยทั้งสองคน ต่างก็เปลี่ยนท่าที เริ่มโอภาปราศรัยกับเราเป็นอันดีอาจจะเห็นว่าเราเอาจริงไม่ใช่หมูที่จะต้มได้ง่ายๆและอีกประการหนึ่งอาจจะเกรงว่าจะถูกฟ้องร้องไปที่ต้นทางจนถึงถูกไล่ออกก็เป็นได้

“พวกนี้คงจะทำการกันเป็นขบวน” สามีพูด “ลำพังพนักงานหญิงสองคนคงทำอะไรแบบนี้โดยไม่มีใครรู้ใครเห็นไม่ได้แน่”

“ดูเถอะ ผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาลจีนพยายามขนาดไหนที่จะกำจัดคอรัปชั่นให้เหลือน้อยที่สุด พยายามสร้างภาพลักษณ์ของจีนเสียใหม่ โดยให้บริการที่ดีเป็นที่พออกพอใจของนักท่องเที่ยว เพื่อจะจูงใจให้พวกเขามาเที่ยวเมืองจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในกรุงปักกิ่งที่จะมาถึงในเร็วๆนี้แล้วพวกนี้มาทำให้ประเทศเสียชื่อเสียง” ฉันพูดอย่างเจ็บใจแทน “กลับไปถึงบ้านคงจะต้องเขียนจดหมายไปฟ้องให้ผู้หลักผู้ใหญ่รู้เรื่อง” แล้วฉันก็เขียนไปจริงๆใส่ชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริงพร้อมที่อยู่ไปด้วย

วันรุ่งขึ้นก่อนเที่ยงเจ้าม้าเหล็กก็วิ่งไปหยุดที่สถานีรถไฟในเกาลูนซึ่งเป็นสถานีสุดท้ายรวมระยะทางโดยรถไฟจากนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจนถึงจุดหมายปลายทางที่ฮ่องกง ได้มากกว่าหนึ่งหมื่นสองพันกิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดยี่สิบเก้าวัน รวมถึงที่หยุดแวะตามทางด้วย

ชั้นที่ยี่สิบของโรงแรม Excelsior ที่ causeway Bay ฝั่งฮ่องกงชวนให้คิดถึงความหลัง เพราะเราสองคนเคยมาพักที่นี่แล้วหลายครั้ง ตั้งแต่สมัยสามียังทำงานอยู่ที่สำนักงานใหญ่ที่สวิสและที่ประเทศจีน เพราะต้องมาประชุมหรือทำธุรกิจที่ฮ่องกงอยู่ค่อนข้างบ่อย แสงไฟจากท่าเรือยอชท์ที่จอดอยู่ส่องแสงแพรวพราย และฉันก็ไม่เคยเบื่อที่จะนั่งดูที่หน้าต่างในยามค่ำคืน และในยามเช้าตรู่

เพื่อนๆชาวอังกฤษและออสเตรเลียนที่ทำงานอยู่บนเกาะฮ่องกงเชิญนักผจญภัย ( ที่ไม่ยอม) แก่ ทั้งสองไปกินอาหารเย็นที่ Hong Kong Country Club ทุกคนกระหายใคร่จะรู้รายละเอียดของการเดินทาง ฉันชอบเพื่อนๆชาวตะวันตกก็ด้วยเหตุที่เขามักจะสนใจสิ่งแปลกใหม่เพื่อเก็บไว้เป็นความรู้บ้าง เพื่อไปเล่าต่อในการสนทนารอบโต๊ะอาหารในคราวต่อไปบ้าง ไม่มีเสียละที่พวกเขาจะนั่งนิ่งเป็นใบ้หรือไม่มีหัวข้อสนทนา หรือวางปึ่งกับคนที่เพิ่งจะพบกัน ทำให้ฉันสามารถคุยกับคนแปลกหน้าได้โดยไม่สนใจว่าเขาจะเป็นใครมาจากไหนหรือเชื้อชาติใด หากส่งภาษากันรู้เรื่อง

“ยินดีด้วยนะที่ทำได้สำเร็จ” แอริคเพื่อนชาวออสเตรเลียนยื่นมือให้จับ “คุณสองคนใช้ชีวิตคุ้มค่าจริงๆ เห็นเขาว่ากันว่า ใครที่ได้นั่งรถไฟสายทรานไซบีเรียได้จนตลอดเส้นทางไม่ว่าจะเป็นจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กไปจนถึงวลาดิวอสต๊อค หรือถึงฮ่องกง หรือฮาร์บินก็ตาม การเดินทางรถไฟสายนี้ก็เป็น ที่สุดแห่งการนั่งรถไฟ ไม่ต้องไปนั่งรถไฟสายอื่นอีกแล้วใช่ไหมครับ?” สำหรับคำว่าที่สุดนั้น แอริคใช้คำว่า “the ultimate train journey”

“ขอบคุณสำหรับการแสดงความยินดีส่วนที่จะเป็นที่สุดแห่งการเดินทางรถไฟหรือไม่ผมไม่รู้ แต่ก็เคยได้ยินเขาพูดกันเช่นนั้นเหมือนกันอย่างไรก็ดี เรายังไม่มีโอกาสขึ้นรถไฟอีกหลายสายในโลก เลยเปรียบเทียบไม่ได้” สามีถ่อมตัว

“คุณใช้เวลาวางแผนอยู่นานไหมกว่าจะลงตัว?” ไนเจลถาม

“ก็นานพอสมควร เพราะเดินทางกันสองคน ไม่ใช่เป็นหมู่คณะซึ่งมีหัวหน้าทัวร์คอยดูแล เกิดอะไรผิดพลาดหัวหน้าทัวร์ก็รับผิดชอบแต่คุณก็รู้ว่าสองคนไม่ชอบไปไหนๆกับทัวร์ถึงแม้จะเป็นทัวร์ที่จัดจากยุโรปก็ตาม เราตัดสินใจเดินทางปีนี้ก็เพราะไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นในปีหน้า สถานการณ์ของโลกก็รู้ๆกันอยู่ เอาแน่ไม่ค่อยได้” สามีตอบ

“รู้ไหมว่าคุณเดินทางข้ามประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึงสองประเทศ รัสเซียและจีน” จอห์นเพื่อนชาวอังกฤษเสริมขึ้นบ้าง “แล้วเมื่อไรจะข้ามประเทศที่ใหญ่ที่สุดอีกประเทศหนึ่งในโลกล่ะ?”

“คุณหมายถึงแคนาดาใช่ไหม? เรามีแผนอยู่แล้ว คงจะเป็นในเร็วๆนี้ แต่ปีนี้ว่าจะไป อเมริกาใต้กันก่อน ที่แล้วๆมาต้องรีบไปรีบกลับเพราะเป็นเรื่องงาน คราวนี้จะไปแบบเจาะลึก” สามีตอบ

“คุณคิดว่าคนที่เดินทางโดยรถไฟแบบนี้ จะชอบและตื่นเต้นกันทุกคนไหม? ผมว่าผมคงจะเบื่อแทบคลั่งเทียวละ หากต้องนั่งๆนอนๆโดยไม่มีอะไรทำ ไปไหนก็ไม่ได้ ต้องอยู่ในที่จำกัด” ไน เจลเพื่อนชาวอังกฤษที่ไม่เคยอยู่นิ่งกล่าวขึ้นบ้าง

“ผมว่าบางคนก็อาจจะเบื่อแทบแย่เชียวละ เพราะหากไม่สนใจจริงๆหรือมีความรู้เรื่องของประเทศและเมืองต่างๆที่จะผ่านไปพอ ด้วยไม่ได้ทำการบ้านหรืออะไรก็แล้วแต่ หรือว่าเป็นคนไม่ชอบความสงบหรือธรรมชาติมันก็คงจะเป็นการทรมานจนทนแทบไม่ได้ทีเดียวมันอาจจะเป็นฝันร้ายแทนที่จะเป็นฝันที่เป็นจริงอย่างกรณีของเราก็ได้นะ” สามีตอบอย่างยืดยาว

“ขอโทษในความ ‘ไม่รู้’ ของผม Forgive my ignorance” แอริคพูด “อยากรู้ว่าการเดินทางโดยใช้รถไฟกับการเดินทางโดยเครื่องบินชั้นธุรกิจอย่างไหนจะแพงกว่ากัน?” ซึ่งสามีอธิบายไปว่า “แพงกว่าเครื่องบินมาก ก็เหมือนกับการล่องเรือ Cruise นั่นแหละ ดูแล้วน่าจะถูก แต่คุณก็รู้ว่าไม่ถูกเลย คุณต้องคำนวณค่าโรงแรม ค่ากินอยู่ ค่าไกด์ส่วนตัว พร้อมรถและโชเฟ่อร์เข้าด้วย”

คราวนี้ไนเจลหันมาถามฉันว่า มีอะไรที่ประทับใจหรือไม่ประทับใจบ้าง

“ชอบหมดละค่ะ แต่ที่ไม่ประทับใจก็มีเพียงสองอย่างคือ หนึ่ง ไม่มีห้องน้ำส่วนตัวนอกจากในรถไฟสายปักกิ่งถึงเซี่ยงไฮ้ สองเตาผิงที่เขาใช้จุดให้ความร้อนในรถไฟใช้ถ่านเป็นเชื้อเพลิง พอทำความสะอาดล้างมือไม่ทันไรมือก็ดำอีกแล้ว และกลิ่นในตู้รถก็เหม็นถ่านไหม้พอสมควร ไม่ถึงกับจะทนไม่ได้ แต่ก็เหม็นอยู่ดี อ้อ มีอีกอย่างหนึ่ง ที่ไม่ชอบคือ เราไม่ได้อาบน้ำถึงสี่วันเต็ม ตั้งแต่รถไฟออกจากมอสโกจนถึงเอียร์คุสซ์ค โชคดีอากาศหนาว และฉันใช้กระดาษเปียกบ้าง ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนบ้างลูบตัว ไม่เช่นนั้นคงเหม็นน่าดู ชุดสบายที่ใช้อยู่ในรถไฟก็ไม่ได้เปลี่ยน” ทุกคนหัวเราะชอบใจ

บ้านของฉันอยู่ที่ใดกันแน่?

มีความสุขกับเพื่อนฝูงอยู่ในฮ่องกงอีกสองวัน ฉันและสามีก็อำลาจากฮ่องกงบินตรงไปภูเก็ตเลย โดยไม่แวะเข้ากรุงเทพฯเมื่อถึงบ้านที่สองที่ใช้เป็นที่หนีหนาวจากสวิตเซอร์แลนด์ ฉันต้องถามตนเองว่า “จะทำอะไรดีกับเครื่องหนาวทั้งหลายทั้งปวงที่เอาติดตัวมาด้วย?”